ในช่วงก่อน และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จีนคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง และจีนเสรีก๊กมินตั๋ง ภายใต้การนำของนายพล เจียง ไคเช็ค ได้ทำสงครามกลางเมืองกัน เพื่อชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในจีน (โดยช่วงที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน ทั้งสองฝ่ายก็ได้ร่วมมือกันต่อสู้กับญี่ปุ่น) ซึ่งในที่สุด ฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ก็ได้รับชัยชนะ สามารถไล่ต้อนฝ่ายก๊กมินตั๋งจนต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949มาจนกระทั่งบัดนี้ ส่งผลให้จีนในเวทีโลกเสมือนมี 2 รัฐบาล นั่นคือรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่กรุงปักกิ่ง (ครองแผ่นดินใหญ่ของจีนทั้งหมด) กับรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ตั้งมั่นอยู่ที่กรุงไทเป เกาะไต้หวัน
ฝ่ายทางด้านแผ่นดินใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพรรคเดียวได้ปกครองแผ่นดินใหญ่มาจนทุกวันนี้ก็รวม 70 ปีแล้ว และช่วงหลังจีนแผ่นดินใหญ่ก็ประสบความสำเร็จก้าวมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกที่แข็งแกร่ง จากการควบรวมเศรษฐกิจทุนนิยมเข้ากับการปกครองแบบเบ็ดเสร็จพรรคเดียว จนมีเงินทองไปพัฒนาศักยภาพทางการทหารได้อย่างมากมาย
ในขณะที่ฝ่ายก๊กมินตั๋งก็เป็นพรรคเดียวที่ปกครองเกาะไต้หวันอยู่นาน จนกระทั่งเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ก็ได้ตัดสินใจเปิดเสรีทางการเมืองสู่ระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้บัดนี้ ไต้หวันได้พัฒนาเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ จัดได้ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าประเทศหนึ่งใดในยุโรปและอเมริกาเหนือ
สรุปได้ว่า จีนคอมมิวนิสต์นั้นประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ โดยใช้เวลาแค่เพียง 40 ปี ก็มีความเจริญก้าวหน้าใกล้เข้ามาเทียบสหรัฐอเมริกา ส่วนจีนไต้หวันนั้นก็ไม่น้อยหน้า เพราะสามารถพัฒนาประเทศในระบบการเมืองแบบเสรีนิยมและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือการตลาดได้อย่างสง่างามเช่นกัน
แต่จีนโดยองค์รวมก็ยังเป็นประเทศที่มี 2 ระบบการเมืองและมี 2 รัฐบาล (Two Systems and Two Governments) ซึ่งคนจีนแผ่นดินใหญ่โดยทั่วไปก็อยากจะให้มีการรวมประเทศ ในขณะที่คนจีนไต้หวันส่วนใหญ่นั้นมีความคิดที่จะแยกตัวเป็นเอกเทศ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังกระทำไม่ได้ เพราะจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ยินยอม เรื่องก็คาราคาซังอยู่บนเวทีโลกมานาน เพราะจีนคอมมิวนิสต์ก็ลงมือทำอะไรไต้หวันได้ไม่ถนัด เนื่องจากโลกตะวันตกยังมีท่าทีสนับสนุนไต้หวันอยู่
อย่างไรก็ดี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้นำจีนชุดใหม่นั้นมีความมุ่งมั่นที่จะรวมจีนทั้ง 2 ให้ได้ โดยประกาศไว้ว่า จะเป็นการรวมประเทศแบบสันติวิธี (Peaceful Unification) การพูดนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การปฏิบัติก็เป็นไปในอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการพยายามเพิ่มแสนยานุภาพทางทหารในพื้นที่ที่อยู่ตรงกันข้ามกับเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มการซ้อมรบแบบยกพลขึ้นบก การเพิ่มการลาดตระเวนทางอากาศที่ล้ำเข้าไปในเขตน่านฟ้าไต้หวัน และเพิ่มการเคลื่อนกองเรือเข้ามาเลียบเคียงน่านน้ำไต้หวัน แถมยังมีข่าวคราวออกมาว่า ถ้าจำเป็นก็จะใช้การปิดล้อมตัดขาดไต้หวันออกจากโลกภายนอก(Blockade) อีกด้วย
โดยภาพรวมจึงดูเสมือนว่า ผู้นำจีนนั้นกำลังตีกลองรบ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของฝ่ายไต้หวัน และสหรัฐอเมริกาพันธมิตรและผู้คุ้มครองปกป้องไต้หวันว่าจะมีท่าทีตอบโต้หรือไม่อย่างไร ไปจนถึงความรู้สึกนึกคิดของชาวอเมริกันว่าจะยินยอมให้รัฐบาลทำสงครามกับจีนด้วยเรื่องไต้หวัน หรือด้วยศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของสหรัฐอเมริกาหรือไม่?
กรณีนี้ ยากที่จะเดาใจสหรัฐอเมริกา ว่าจะตัดสินใจตอบโต้จีนแผ่นดินใหญ่อย่างไร เพราะความล้มเหลวของนโยบายแทรกแซงในความเป็นไปของประเทศหนึ่งใดไม่ว่าจะเป็นในกรณีของลิเบีย อิรัก อัฟกานิสถานหรือก่อนหน้านั้น ก็ในกรณีของสงครามเวียดนาม ซึ่งอย่างไรก็ตาม ได้มีการให้ข้อคิดจากแวดวงวิชาการและคอการเมืองระหว่างประเทศว่า ถ้าหากสหรัฐอเมริกาเลือกที่จะไม่ยืนหยัดในเรื่องการปกป้องคุ้มครองไต้หวันแล้ว นั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียรังวัด ศักดิ์ศรี อิทธิพล และผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในโลกกว้าง และโดยเฉพาะในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกไปในทันที
ในขณะเดียวกัน เมื่อมองไปที่จีน ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักที่จะเข้าไปยึดครองไต้หวันด้วยกำลัง เพราะไต้หวันเองก็มีเขี้ยวเล็บทางด้านการทหารที่ไม่เป็นรองใคร แถมได้เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้มาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งผู้นำของไต้หวันคนปัจจุบันก็ได้ประกาศแล้วว่า อนาคตของไต้หวันจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่ชาวไต้หวันเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่จีนแผ่นดินใหญ่ หรือผู้อื่นใดจะเข้ามากำหนดให้ นั่นก็หมายความว่า ไต้หวันจะรักษาไว้ซึ่งสังคมเสรีประชาธิปไตย ไม่เอาด้วยกับระบอบพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ปกครอง และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และความเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะความเป็นเสรีนั่นเอง
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของจีนแผ่นดินใหญ่ก็คือเมืองสำคัญๆ ของตนนั้นต่างอยู่ติดกับฝั่งทะเลแปซิฟิกเกือบทุกเมือง ซึ่งเป็นการง่ายต่อการถูกโจมตีสวนจากไต้หวัน และย่านทะเลนี้เป็นหัวใจเศรษฐกิจอันสำคัญของประเทศ การสงครามใดๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อจีนคอมมิวนิสต์อย่างใหญ่หลวง ซึ่งแม้จีนแผ่นดินใหญ่สามารถใช้กำลังเข้ายึดครองไต้หวันได้ แต่ก็อาจจะสูญเสียศักยภาพเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจไปมากมาย ซึ่งจีนแผ่นดินใหญ่จะต้องชั่งใจเอาว่า จะเป็นการคุ้มหรือไม่? นอกจากนั้นแล้ว จีนแผ่นดินใหญ่มีความพร้อมที่จะเผชิญกับสหรัฐอเมริกา และฝ่ายตะวันตกมากน้อยเพียงใด หากสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าช่วยไต้หวัน ซึ่งก็จะเป็นการขยายแนวรบและพันธมิตรของสหรัฐฯ ในละแวกแปซิฟิก นอกจากนั้น เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จะสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้หรือ ในเมื่อทั้งคู่จะได้รับผลกระทบจากภัยสงครามในเขตทะเลจีนตอนใต้และตอนเหนือ ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งต่อการทำมาค้าขาย บวกกับการต้องทำการปกป้องคุ้มครองของตนเอง ซึ่งก็เท่ากับว่า หากทำการบุกไต้หวันจริง จีนแผ่นดินใหญ่จะต้องโดดเดี่ยว และพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ ในขณะที่ทางฝ่ายไต้หวันนั้นมีพันธมิตรอย่างน้อย 3 ประเทศดังกล่าว
นอกจากนั้น หากจีนแผ่นดินใหญ่เกิดไม่ประสบความสำเร็จในการยึดครองไต้หวันด้วยกำลังแล้ว รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ย่อมได้รับความเสียหายอย่างมากมาย โดยจะส่งผลกระทบต่อสถานะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสายตาของประชาชนพลเมืองเป็นสำคัญ
ฉะนั้น เดิมพันของการบุกยึดครองไต้หวันของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นสูงมาก ถึงขั้นส่งผลให้เกิดการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในระยะยาว ผู้นำจีนที่กรุงปักกิ่งจึงต้องคิดอย่างรอบคอบ การออกมาแสดงท่าทีข่มขู่ไต้หวัน บนพื้นฐานการประเมินที่ว่า สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในฐานะขาลงจากปัญหาของการแตกแยกภายในแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ และการแตกแยกระหว่างคนมั่งมี อภิสิทธิ์ชน กับคนส่วนใหญ่ทั่วไปน่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯ ในเรื่องการต่างประเทศว่า จะไม่เข้าไปวุ่นวายกับการช่วยเหลือประเทศใดๆ อีก (โดยเฉพาะในเรื่องจีนไต้หวัน) นั้นมีความถูกต้องสักแค่ไหน
ในสภาพแห่งความเป็นจริง ลัทธิคอมมิวนิสต์ กับลัทธิเสรีประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่ไปกันไม่ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นข้อคิดต่อผู้นำจีนแผ่นดินใหญ่ว่า เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ และจีนเกาะไต้หวัน ต่างมีระบบที่ตรงกันข้ามกันเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่คิดที่จะให้คงสภาพของต่างคนต่างอยู่ ซึ่งอาจจะดีกว่าหรือไม่? แล้วค่อยหาทางที่จะมีความสัมพันธ์กันในฐานะประเทศต่อประเทศในภายหลัง
มิฉะนั้น ปัญหาอธิปไตยของไต้หวัน ก็คงเป็นเรื่องของน้ำผึ้งหยดเดียวสำหรับจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งในที่สุดก็จะเสียหายอย่างหนักทั้งสองฝ่าย และความเจ็บแค้นปวดร้าวก็จะไม่มีวันจบสิ้น
อีกมุมมองหนึ่งก็คือ ก็เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจเลือกที่จะไม่ปราบพรรคก๊กมินตั๋งอย่างเด็ดขาดกันตั้งแต่เมื่อ 70 ปีที่แล้ว แล้วเหตุใดรัฐบาลจีนปักกิ่งชุดปัจจุบันจึงจะมาคิดทำอะไรกันตอนนี้? ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ไปเสียเล่า เพราะในวันนี้ การจะมาคิดบัญชีกันอีกที มันมิใช่เรื่องภายในระหว่างจีนด้วยกันอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากมีผู้เล่นอื่นๆ บนเวทีโลกได้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย และด้วยโลกโลกาภิวัตน์การขัดแย้งใดๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อภูมิภาคและต่อโลกกว้างอย่างกว้างขวาง ก็หวังว่าผู้นำจีนที่ปักกิ่งคงจะมีสติและประมาณตนมากกว่าที่จะเอาความรู้สึก ความอยาก เป็นที่ตั้ง
ประชาคมโลกเองก็สามารถมีบทบาทในการช่วยพูดจาให้จีนทั้งสอง ต่างคนต่างอยู่ไปกันคนละวิถีทางแล้วก็ค่อยร่วมมือกันในเรื่องที่จะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งไทยและประชาคมอาเซียนก็อยู่ในฐานะที่จะช่วยพูดจาได้ เพราะอาเซียนโดยรวมมีเวทีพบปะหารือและกิจการร่วมมือพัฒนากับจีนอยู่แล้วในกรอบ ASEAN China Dialogue อยู่แล้ว
ไต้หวันมีของดีมากมายที่ไทยและอาเซียนจะใช้ประโยชน์ได้ แต่จะไปสนิทชิดเชื้อมากก็ไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่องจีนแผ่นดินใหญ่จะมีปฏิกิริยาไม่พอใจ ก็เท่ากับว่าไทยและอาเซียนเสียประโยชน์จากของดีที่ไต้หวันมีอยู่โดยใช่เหตุ ดังนั้นก็ต้องร่วมมือกันช่วยให้จีนปักกิ่ง และจีนไทเป หาทางออกโดยสันติวิธีให้ได้ ไม่ใช่ตีกลองรบ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี