น้ำท่วมเมืองไทยครั้งนี้ถูกประเมินเบื้องต้นว่าสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจไทยอย่างน้อย 15,000 ล้านบาทโดยตัวเลขความเสียหายที่ถูกประเมินนี้มาจากการศึกษาโดยสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยโดยประเมินผลเสียหายจากวิกฤตน้ำท่วมใน 31 จังหวัดในขณะนี้โดยประเมินตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 จนถึงช่วงปัจจุบัน พบว่าใน 31 จังหวัด มีพื้นที่ 190 อำเภอ 956 ตำบล 6,335 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบรวม 227,470 ครอบครัว มีผู้เสียชีวิตเพราะเหตุอุทกภัยแล้ว 7 คน และรายสุดสถานการณ์ใน 13 จังหวัดเริ่มคลี่คลายลงแล้ว
สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่พบจากการวิจัยคือ พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายคือพื้นที่การเกษตร โดยคิดเป็น 66 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ถูกน้ำท่วม และพื้นที่ทางเศรษฐกิจได้รับความเสียหาย 22 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่บางจังหวัดได้รับความเสียหายหนักทั้งพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจ และเมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากน้ำท่วมในปี 2554 ก็ยังพบว่าน้ำท่วมในขณะนี้มีความเสียหายน้อยกว่าปี 2554
เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่าพื้นที่การเกษตรประมาณ 4 ล้านไร่ได้รับความเสียหาย จำแนกเป็นนาข้าว 2.44 ล้านไร่ ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่เพาะปลูกผัก ผลไม้ และไม้ยืนต้นอื่นๆ เมื่อประเมินผลความเสียหายเบื้องต้นพบว่าเป็นเงินประมาณ 15,000 ล้านบาท กระทบต่อ GDP ของประเทศ 0.1-0.2 เปอร์เซ็นต์
ขออภัยที่บทบรรณาธิการวันนี้มีตัวเลขมากมาย แต่ ทว่าจำเป็นต้องนำเสนอตัวเลขเพื่อให้เห็นมูลค่าความเสียหายอย่างเป็นรูปธรรมที่เกิดจากน้ำท่วมครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าปัญหาเรื่องน้ำคือปัญหาสำคัญที่สุดประการหนึ่งของประเทศไทย เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดกับคนไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 ทศวรรษ โดยแบ่งเป็นปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ซึ่งในแต่ละปีนั้นประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาดังกล่าวสลับกันไปมาเป็นประจำ โดยบางปีมีปัญหาทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งเกิดขึ้นภายในปีเดียวกัน ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจมากที่ปัญหานี้ไม่สามารถถูกขจัดไปได้จากประเทศไทย ทั้งๆ ที่เรามีหน่วยงานด้านเกี่ยวกับน้ำอยู่ในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าหน่วยงานต่างๆ เหล่านั้นสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้งในประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขได้บ้างในบางพื้นที่ แต่ก็ต้องยืนยันเหมือนเดิมว่าปัญหาดังกล่าวไม่เคยหมดไปจากประเทศไทย
ทุกครั้งเมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วม น้ำแล้งในประเทศไทย ผู้ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรกคือประชาชน และประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลมากที่สุดคือชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน และผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ซึ่งคนกลุ่มนี้นับเป็นคนส่วนใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศไทย และทุกครั้งที่เกิดวิกฤตนี้ขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนได้รับทราบเป็นอย่างดีคือ รัฐบาลต้องทุ่มเงินงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาซ้ำซากนี้ จนทำให้ถูกวิจารณ์ว่ารัฐบาลดีแต่ใช้งบประมาณ จำพวกงบฉุกเฉินเพื่อถลุงไปกับปัญหาซ้ำซาก โดยที่รัฐบาลไม่มีปัญญาแก้ปัญหาสำคัญนี้อย่างเป็นระบบเพื่อขจัดปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ตราบใดก็ตามที่รัฐบาล (ทุกรัฐบาล) ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งของประเทศไทยได้อย่างเป็นระบบ ก็หมายถึงประเทศไทยต้องประสบความสูญเสียด้านเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลตลอดไป ประชาชนที่ประสบเหตุก็ต้องพบกับความทุกข์ระทมตลอดไป แล้วรัฐบาลก็ต้องทุ่มงบฉุกเฉินจำนวนมหาศาลแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปทุกๆ ปี ซึ่งรัฐบาลหลายชุดก็อาศัยช่องว่างด้านงบฉุกเฉินแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเข้าพกเข้าห่อของตนเอง
เมื่อปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งมนุษย์ (โดยเฉพาะรัฐบาล) สามารถแก้ไข และบรรเทาความร้ายแรงของปัญหาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลตั้งใจแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังหรือไม่ หรือว่าต้องการเลี้ยงไข้ปล่อยให้เกิดปัญหาซ้ำซากตลอดไปทุกปี เพราะการเลี้ยงไข้ปล่อยปัญหาไว้ คือช่องทางการทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดินที่ไม่รู้จบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี