ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางการในประเทศไทยและประเทศเมียนมามายาวนานจะพบว่าฝ่ายการเมืองสองประเทศนี้มีพฤติกรรมคล้ายๆ กันทั้งฝ่ายกลุ่มต่อต้านและในส่วนของรัฐบาล
ในประเทศเมียนมา ทหารกล่าวหาว่าพรรคเอ็นแอลดีของ “ออง ซาน ซู จี” ทุจริตเลือกตั้งครั้งมโหฬาร แต่รัฐบาลในเวลานั้นไม่ยอมให้ตรวจสอบประกอบกับมีข้อครหาว่า ออง ซาน ซู จี ซึ่งเป็นประธานาธิบดีโดยพฤตินัยทุจริตคอร์รัปชั่นรับสินบน และละเมิดกฎหมายความลับราชการ ทหารจึงจำเป็นต้องยึดอำนาจตามรัฐธรรมนูญเมียนมา
ประเทศไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้บทเฉพาะกาล 5 ปี ของรัฐธรรมนูญปี 2560ที่ให้อำนาจ สว. 250 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยพลเอกประยุทธ์เมื่อครั้งยังเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ในฐานะหัวหน้าคณะผู้รักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และหลังเลือกตั้ง ต.ค. 2560 พลเอกประยุทธ์ก็แปลงร่างจาก องค์รัฏฐาธิปัตย์มาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง
การสถาปนาตัวเป็นผู้นำทั้งในประเทศไทยและประเทศเมียนมาในภาวะไม่ปรกติทำให้ปฏิกิริยาต่อต้านจากฝ่ายค้านและฝ่ายแค้นทั้งสองประเทศเหมือนกัน คือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทั้งสองประเทศโกรธแค้นที่ถูกยึดและถูกแย่งอำนาจไปตามกฎหมายแต่ไม่ถูกใจฝ่ายแค้น
ในสหภาพเมียนมา นางออง ซาน ซู จี ปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนเธอและผู้สนับสนุนพรรคเอ็นแอลดี ลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้านทหาร 3 วันก่อนหน้าถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564
ดังนั้นวันที่ 3 ก.พ.สองวันหลังจากพลเอกมินอ่องหล่าย นำทหารยึดอำนาจประชาชนจำนวนมากออกมาเดินขบวนประท้วงแบบอารยะขัดขืน แต่การประท้วงแบบอารยะขัดขืนดำเนินไปได้ไม่กี่วันก็เปลี่ยนเป็นการประท้วงรุนแรงก่อจลาจลวุ่นวาย
สาเหตุของการประท้วงรุนแรงและก่อจลาจลวุ่นวายก็คล้ายๆกับเหตุการณ์ในเมืองไทยในปี 2552-2553 คือแกนนำการประท้วงบางกลุ่มต้องการให้มีคนตายเพื่อจะได้แห่ศพประจานกล่าวหาว่ารัฐบาลฆ่าประชาชนและปั่นกระแสความโกรธแค้นในหมู่ฝ่ายต่อต้านกระตุ้นให้เกิดความวุ่นวายกลายเป็นมิคสัญญี
และแผนการชั่วร้ายเมื่อสิบกว่าปีก่อนถูกนำมาประยุกต์ใช้ในฝ่ายกลุ่มต่อต้านรัฐบาล โดยการประท้วงรุนแรงของคนรุ่นใหม่ที่เน้นพฤติกรรมกักขฬะหยาบช้ารุนแรงเผาทำลายเพื่อให้รัฐบาลปราบปรามและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามที่ผู้บงการวางแผนไว้
กลุ่มต่อต้านก่อกวนในเมียนมาก็มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน และมีที่มาเหมือนกันกับกลุ่มต่อต้านก่อกวนในประเทศไทยคือมีนักการเมืองกลุ่มการเมืองที่สูญเสียอำนาจเป็นผู้บงการชักใยสนับสนุนให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง
ในประเทศเมียนมาผู้อยู่เบื้องและจัดตั้งขบวนการต่อต้านและก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองสังกัดพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี คือหลังจากการประท้วงรุนแรงจนกลายเป็นจลาจลวุ่นวายที่รัฐบาลทหารต้องปราบปรามระงับเหตุร้ายและแน่นอนต้องมีคนตาย
และฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคเอ็นแอลดี ก็ได้ทีทำปฏิบัติการข่าวร่วมกับตะวันตกโจมตีรัฐบาลทหารเมียนมาว่าฆ่าประชาชนผู้ประท้วงมือเปล่าแบบอารยะขัดขืนตายเหมือนใบไม้ร่วง
และเพื่อความชอบธรรมในการปกป้องประชาชนรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (NUG) รัฐบาลเงาที่นักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีสร้างขึ้นมาก่อนหน้าก็ฉวยโอกาสจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาชื่อว่า “กองกำลังพิทักษ์ประชาชน” (People Defense Force=PDF) กองกำลังพิทักษ์ประชาชนไม่ได้พิทักษ์ประชาชนสมชื่อแต่กลายเป็นกองกำลังก่อกวนเข็นฆ่าประชาชน
PDF ส่งเยาวชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากไปฝึกอาวุธ ฝึกการรบและการทำระเบิดกับกองกำลังชาติพันธ์ุในป่า ฝึกเสร็จร้อนวิชาออกจากป่ามาเที่ยววางระเบิด ลอบฆ่าผู้คนที่คิดว่าเป็นสายให้รัฐบาลทหารตายเป็นว่าเล่น PDF ลอบวางระเบิด ลอบฆ่าคนทีไรก็ได้รับเสียงเชียร์เสียงปรบมือให้จากกลุ่มเอ็นจีโอ สื่อตะวันตก และนักการเมืองฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
เหมือนกับกลุ่มอันธพาลกวนเมืองแถวดินแดงรวมทั้ง “กลุ่มทะลุแก๊ส” ในประเทศไทยที่ทำลายทรัพย์สินราชการหรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ทีไรได้รับเสียงเชียร์จากนักการเมืองฝ่ายค้านและอาจารย์ในมหาวิยาลัยบางกลุ่ม แม้แต่ผู้ประท้วงบางคนทำลามกจกเปรตแก้ผ้าเต้นแร้งเต้นกาต่อหน้าธารกำนัลนักวิชาการและนักการเมืองฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยังยกย่องชื่นชมให้เป็นวีรสตรีนักเสรีประชาธิปไตย หากวันไหนผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลและคิดล้มล้างสถาบันทำผิดก.ม. และถูกจับตามหมายศาล
พวกอาจารย์ร่านวิชากับนักการเมืองฝ่ายค้านและผู้บงการอยู่ข้างหลังก็จัดการประกันตัวให้พร้อมกับสนับสนุนทั้งการเงินและทีมนักกฎหมาย หากผู้ต้องหาคนไหนประกันตัวไม่ได้ก็ใช้วิธีข่มขู่กดดันด่าว่าเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในบางกรณีลามปามไปถึงศาลและสถาบัน
เช่นกรณี น.ส.เบนจา อะปัญ ที่ถูกจับตามหมายศาลในข้อหาละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งศาลไม่ให้ประกันตัว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้า
พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกศาลสั่งยุบไปแล้วเพราะทำผิด ก.ม. เลือกตั้งและถูกตัดสิทธิทางการเมืองแต่คดีอาญายังไม่คืบหน้าโพสต์ข้อความระบุว่า
“ผ่าน 6 ตุลามาไม่กี่วัน ผู้มีอำนาจก็ซ้ำเดิมทำลายอนาคตเยาวชน เพียงเพราะเธอเรียกร้องถึงสังคมที่ดีกว่า เบนจาเป็นวิศวกรอวกาศที่กำลังสร้างชื่อเสียงให้กับไทยในอีกไม่กี่ปี แต่กลับต้องถูกจับเข้าคุกรัฐบาลต้องหยุดทำลายอนาคตของชาติ ก่อนที่สังคมไทยจะถูกผลักออกไปไกลเกินจุดจะเจรจาประนีประนอมกันได้”
ไม่รู้ว่านายธนาธร ใช้อะไรคิดที่โมเมเอาว่าการโจมตีทำลายสถาบันหลักของชาติที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยทั้งชาติเป็นการเรียกหาสังคมที่ดีกว่า ซึ่งเหมือนกับนักการเมืองผู้สูญเสียอำนาจในประเทศเมียนมาที่ออกมาชื่นชมยกย่องสนับสนุนให้ท้าย PDF ทุกครั้งที่ฆ่าคนตายหรือวางระเบิดทำลายทรัพย์สินราชการซึ่งเป็นสมบัติของชาติหรือทุกครั้งที่ PDF วางระเบิดทำลายทรัพย์สินของบริษัทเอกชนที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนรัฐบาลทหาร
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่า PDF ระเบิดทำลายทรัพย์สินไปมากน้อยแค่ไหนหรือฆ่าผู้ที่สงสัยว่าเป็นสายให้รัฐบาลทหารไปแล้วกี่คนแต่หนังสือพิมพ์ เดอะสเตรตส์ไทมส์ สิงคโปร์ อ้างคำพูดของโฆษกรัฐบาลทหารเมียนมา เมื่อวันที่ 4 ต.ค. รายงานว่าตั้งแต่ 1 ก.พ. 2564 ถึงวันนี้ PDF ลอบสังหารผู้ที่สงสัยว่าเป็นสายให้รัฐบาลทหารไปแล้ว 406 ศพและได้รับบาดเจ็บ 285 คน นอกจากนั้น PDF ลอบวางระเบิดทั่วประเทศมาแล้วรวม 460 ครั้ง
เมื่อสอบถามกับ วินมิตร โยสาละวิน นักข่าวชาวเมียนมาที่ติดตามความเคลื่อนไหวในประเทศเมียนมาอย่างใกล้ชิด ถึงความเป็นได้ที่ PDF มีศักยภาพทำลายล้างขนาดนั้นได้รับคำตอบว่า
“เป็นไปได้เพราะ PDF กระจายอยู่ทั่วประเทศเมียนมาและไม่มีศูนย์บัญชาการแน่นอน ต่างคนต่างทำในพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง ที่สำคัญเชื่อว่า PDF ได้รับอาวุธและสนับสนุนปฏิบัติการจากกองกำลังชาติพันธ์ุบางกลุ่ม”
วินมิตร กล่าวเสริมว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นเป้าหมายลอบสังหารของ PDF ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่บ้านในชนบทเพราะถูกสงสัยว่าเป็นสายให้รัฐบาลทหาร
รัฐบาลเงาพรรคเอ็นแอลดีเห็นข่าวที่เดอะสเตรตส์ไทมส์ สิงคโปร์ นำเสนอคิดว่ายังไม่สะใจพอ วันที่ 7 ต.ค. เพจทางการของกระทรวงกิจการบ้านและตรวจคนเข้าเมืองของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) รัฐบาลเงาที่สถาปนาขึ้นโดยสมาชิกพรรค NLD ได้เผยแพร่ผลการปฏิบัติงานในรอบ 1 เดือน สำทับว่า “หลังจาก NUG ได้ประกาศสงครามต่อต้านรัฐบาลทหาร และกองทัพเมียนมาขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม กองกำลังติดอาวุธ (PDF) ที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ สามารถโจมตีเป้าหมายที่เป็นของรัฐบาลทหารและกองทัพได้ทั้งสิ้น 778 ครั้ง แบ่งเป็นการโจมตีด้วยระเบิด 510 ครั้ง และโจมตีด้วยกำลังคนและอาวุธปืน 268 ครั้ง มีเป้าหมายที่ถูกโจมตีรวมทั้งสิ้น 953 แห่ง แบ่งเป็นเป้าหมายทางการทหาร 413 แห่ง เป้าหมายทางการปกครอง 327 แห่ง และเป้าหมายทางเศรษฐกิจ 213 แห่ง ผลการโจมตี สามารถสังหารทหารเมียนมาได้ทั้งสิ้น 1,562 ราย และทำให้ทหารเมียนมาได้รับบาดเจ็บอีก 552 ราย
เพจของรัฐบาลเงาโม้เกินจริงหรือไม่ยังสามารถหาข้อมูลยืนยันไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทั้งในประเทศเมียนมาและในประเทศไทย สะใจกับการตายของเพื่อนร่วมชาติและสุขใจที่ได้ทำลายทรัพย์สินทางราชการซึ่งเป็นสมบัติของชาติรวมทั้งสมบัติของเอกชน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี