วันที่ 26 ตุลาคม เป็นวันเริ่มต้นการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าอาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 39 ซึ่งจะประชุมกันจนถึงวันที่ 28 ต.ค.
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศบรูไนเป็นเจ้าภาพในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียน ปีนี้ผิดแปลกแตกต่างไปจากการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วโลกจึงจำเป็นต้องจัดประชุมทางไกล ผู้นำประเทศอาเซียน และคู่เจรจาทั้งหลายจึงไม่มีโอกาสได้คล้องแขนใส่เสื้อประจำชาติถ่ายรูปร่วมกัน
ที่สำคัญไม่ได้นั่งจิบกาแฟหรือทานอาหารร่วมกันที่มักใช้เวลานั้นคุยกันนอกรอบซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่คู่เจรจาทวิภาคีได้ปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ผู้ที่ผิดใจก็ได้เคลียร์กันนอกรอบ หรือที่สนิทสนมกันดีก็ได้กระชับความสัมพันธ์ทางด้านการค้าการลงทุนตลอดถึงการเมืองความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เท่าที่เคยทำข่าวประชุมอาเซียนซัมมิตที่ผ่านการเจรจานอกรอบของผู้แทนระดับสูงที่ได้พบปะกันล่วงหน้ามักเจรจาต่อรองจนบรรลุข้อตกลงกันล่วงหน้า ซึ่งสำคัญกว่าตอนลงนามข้อตกลงระหว่างผู้นำต่างๆ เพราะตอนลงนามของผู้นำเป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ความสำคัญในข้อตกลงต่างๆ ได้บรรลุความเข้าใจและเห็นพ้องต้องกันล่วงหน้าโดยคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิก
แม้แต่แถลงการณ์ของประธานการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ยังต้องได้รับฉันทามติเป็นเอกฉันท์จาก
เจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกจึงเป็นแถลงการณ์ที่มีผลในทางปฏิบัติ เพราะกฎบัตรอาเซียนคือมีมติเป็นเอกฉันท์และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน
แต่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศบรูไนเป็นประธาน รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้จัดประชุมฉุกเฉินขึ้นแล้วแถลงการณ์เอาตามอำเภอใจเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่า ไม่เชิญพลเอกมิน อ่อง หล่าย นายกรัฐมนตรีรักษาการรัฐบาลทหารพม่าผู้ถืออำนาจ รัฏฐาธิปัตย์โดยสมบูรณ์ของสหภาพพม่ามาร่วมประชุม
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่ามีการถกเถียงกันมากระหว่างฝ่ายที่ยึดหลักการเรื่องมติเป็นเอกฉันท์และยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน กับฝ่ายที่อ้างว่าเพื่อรักษาเครดิตอาเซียนจึงไม่เชิญพลเอกมิน อ่อง หล่าย ที่ยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งมาร่วมประชุม เพื่อแสดงออกถึงการคว่ำบาตรการยึดอำนาจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รมต.ต่างประเทศอินโดนีเซียเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ โดยที่ไม่สำเหนียกว่า อินโดนีเซียเคยมีประธานาธิบดีซูฮาร์โต ซึ่งใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดปกครองอินโดนีเซียนานถึง 32 ปี ระหว่างที่ปกครองเผด็จการทำให้มีคนตายนับหมื่น คนที่ต่อต้านเผด็จการถูกจับกุมนับแสนคนกระนั้นก็ตามไม่เคยมีประเทศไหนในอาเซียนคว่ำบาตรซูฮาร์โต
อินโดนีเซียกับมาเลเซียคงมีอคติ มีข้อขัดแย้งกับทหารพม่ามาตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 เพราะอินโดนีเซียกับมาเลเซีย กล่าวหาว่า ทหารพม่ากดขี่ข่มเหงโรฮีนจา ทำให้ชาวโรฮีนจาหนีตายไปพึ่งมาเลเซียและอินโดนีเซีย 200,000 กว่าคน อินโดนีเซียกับโรฮีนจานับถือศาสนาเดียวกัน
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้นำอาเซียนประชุมพิเศษในกรุงจาการ์ตา ว่าด้วยเรื่องอาเซียนจะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพม่า ในที่ประชุมซึ่งพลเอกมิน อ่อง หล่าย เข้าร่วมประชุมด้วยและได้มีฉันทามติ 5 ข้อ 1 ใน 5 ข้อ คืออาเซียนจะแต่งตั้งทูตพิเศษเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติความขัดแย้งอย่างสันติวิธีจากทุกฝ่ายและเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในพม่าหยุดใช้ความรุนแรงในทันที
เดือน มิ.ย. นางเรตโน มาร์ซูดี รมต.ต่างประเทศอินโดนีเซีย กับ นายเอรีวัน ยูซอฟ รมต.ต่างประเทศคนที่ 2
ของบรูไน ได้เดินทางไปประเทศพม่าและพบปะพูดจากับพลเอกมิน อ่อง หล่าย และผู้แทนรัฐบาลทหารพม่าหลายคน ตอนนั้นพลเอกมิน อ่อง หล่าย กล่าวว่า เขาประสงค์จะให้นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล อดีต รมช.ต่างประเทศของไทยเป็นทูตพิเศษอาเซียน
หลังจากพบปะกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย นางมาร์ซูดี กลับมาถึงบ้านก็แท็กทีมกับมาเลเซียและบรูไนผลักดันนายเอรีวัน เป็นทูตพิเศษแทนนายวีระศักดิ์ที่พลเอกมินอ่อง หล่าย ต้องการจนได้
ทูตพิเศษอาเซียนพอได้รับการแต่งตั้งก็รบเร้ารัฐบาลทหารพม่าขอพบนางออง ซาน ซู จี ให้ได้ ทำราวกับว่าปัญหาของสหภาพพม่าต้องตกลงกับนางซู จี คนเดียวเท่านั้น โดยที่ทูตพิเศษไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงความซับซ้อนของปัญหาว่าประเทศพม่ามีกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อสู้ต่อต้านรัฐบาลพม่ามากว่า 70 ปี มีถึง 16 กลุ่ม และมีพรรคการเมืองต่างๆกว่า 40 พรรค แต่ที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมีอยู่แค่ 2 พรรคคือพรรคเอ็นแอลดี ของนางออง ซาน ซู จี กับพรรคยูเอสดีพีของสายทหาร
ทูตพิเศษอาเซียนเหมือนกับได้รับใบสั่งจากตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกามาว่าให้ช่วยเหลือนางออง ซาน ซู จี คนเดียว สหภาพพม่าเป็นอธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ มีกฎหมายบังคับใช้ และมีบูรณภาพอธิปไตยในดินแดนของตนบอกทูตพิเศษว่า “ยังพบจำเลยที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดีไม่ได้”
นางออง ซาน ซู จี ถูกดำเนินคดีหลายข้อหาตั้งแต่ละเมิดกฎป้องกันโควิดระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ใช้วิทยุสื่อสารและนำเข้าวิทยุสื่อสารผิดกฎหมาย แต่ข้อหาร้ายแรงที่อาจทำให้เธอติดคุก 15 ปี หากศาลพิจารณาว่าเธอมีความผิด คือคดีที่อัยการฟ้องว่าสมคบกันคอร์รัปชั่น รับสินบนและข้อหาละเมิด ก.ม.ความลับราชการ
เมื่อฝ่ายพม่าตอบอย่างนั้น อินโดนีเซีย มาเลเซียและสหรัฐอเมริกาโวยวายว่า อาเซียนไม่คืบหน้าในการแก้วิกฤตพม่า เนื่องจากพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ให้ความร่วมมือกับทูตพิเศษ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบางคนเลยรวบรัดเอาตามอำเภอใจไม่ให้พลเอกมิน อ่อง หล่าย ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน แต่จะเชิญบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองมาร่วมประชุมแทน แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าประชุมสุดยอดผู้นำได้อย่างไร คนที่อาเซียนเชิญมาจะช่วยอะไรได้นอกจากทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น
จึงเป็นความชอบธรรมที่รัฐบาลรักษาการทหารพม่าตำหนิว่า “บรูไนทำผิดกฎบัตรอาเซียน และกล่าวว่าไม่รับผลการประชุม”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่า กระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา เผยแพร่แถลงการณ์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีเนื้อหาสำคัญว่า เมียนมามีความพยายามแสวงหาแนวทางคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่ยืดเยื้อในประเทศ ให้เป็นไปอย่างสันติวิธีตามจิตวิญญาณ และแนวทางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา
การดำเนินงานของบรูไน ซึ่งทำหน้าที่ประธานอาเซียนประจำปีนี้ ขัดแย้งและไม่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานหลายเรื่อง ที่อาเซียนยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลานาน จึงถือว่าเป็นการละเมิดกฎบัตรอาเซียน ที่เมียนมาเป็นหนึ่งในสมาชิก ด้วยเหตุนี้เมียนมาจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยอมรับผลการหารือของการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค.นี้ และมติใดก็ตามของที่ประชุม ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการของกฎบัตรอาเซียน แม้บรูไนยืนยันการเชิญ “ผู้แทนที่ไม่ได้มาจากฝ่ายการเมือง” ให้เข้าร่วมในฐานะตัวแทนของเมียนมา
ในอีกด้านหนึ่ง นางคริสติน ชราเนอร์ บูร์เกเนอร์ ผู้แทนพิเศษด้านกิจการพม่าของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า สถานการณ์ภายในพม่ากำลัง “ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติ” และมีความเสี่ยงสูงที่พม่า “จะกลายเป็นรัฐล้มเหลว”
นางคริสติน ชราเนอร์ เป็นหนึ่งในเหยื่อปฏิบัติการข่าวของตะวันตกที่ฟังความข้างเดียวรับข้อมูลการปั่นกระแสจากอดีตทหารอเมริกันที่ผันตัวมาเป็นเอ็นจีโอ เคลื่อนไหวในรัฐกะเหรี่ยงปั่นข่าวโจมตีทหารพม่าว่าฆ่า ผู้ต่อต้านการยึดอำนาจฆ่าผู้ประท้วงแบบอารยะขัดขืนตายนับพันศพ
โดยไม่ถึงพูดถึงกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People Defense Force หรือ PDF) ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (NUG) หรือรัฐบาลเงาของพรรคเอ็นเอลดี ที่ออกมาประกาศเมื่อ 7 ต.ค. ว่าตั้งแต่ประกาศปฏิวัติประชาชนเมื่อวันที่ 6 ก.ย. PDF ได้สังหารสายของรัฐบาลไปแล้ว 1,600 ศพ วางระเบิดทั่วประเทศ 5,000 กว่าครั้ง
PDF อาจโม้ยกเมฆมากเกินไปก็ได้ แต่วินมิตรโยสาละวิน ผู้สื่อข่าวชาวพม่าบอกว่าการลอบฆ่าผู้ที่สงสัยว่าเป็นสายให้ทหารโดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านและวางระเบิดรายวันมีจริง
“PDF กระจายอยู่ทั่วไปไม่มีศูนย์บัญชาการกลาง ต่างคนต่างทำเขตใครเขตมัน การลอบฆ่าคนและวางระเบิดรายวันมีจริงแต่ยังหาตัวเลขแน่นอนไม่ได้”
อาเซียนก่อตั้งมา 54 ปี แล้วน่าจะนานพอที่ทำให้มีวุฒิภาวะมากพอจะเข้าใจว่าอาเซียนมีรูปแบบการปกครองหลากหลาย มีประชาธิปไตยครึ่งใบ มีอำนาจนิยม มีเผด็จการ มีคอมมิวนิสต์ และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อาเซียนต้องมีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่วู่วามทำอะไรด้วยอคติ โดยไม่คำนึงถึงหลักการให้พม่าตำหนิเอาได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่ากล่าวหาว่าสมาชิกอาเซียนบางประเทศรับใช้สหรัฐอเมริกาและกีดกันพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ให้ร่วมกิจกรรมตามแรงกดดันของอียู
การไม่เชิญพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไปประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนปีนี้อาจทำตามอำเภอใจได้ แต่อย่าลืมว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าประธานหมุนเวียนอาเซียนก็จะเป็นกัมพูชาและเชื่อว่าปีหน้ากัมพูชาในฐานะใกล้ชิดกับจีน และชิงชังอเมริกา จึงมั่นใจว่าปีหน้ากัมพูชาในฐานะประธานอาเซียน ต้องเชิญพม่ามาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ถึงวันนั้นประชาคมโลกก็จะมองว่าหลักการมติเป็นเอกฉันท์และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ของอาเซียนเหมือนไม้หลักปักขี้เลน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี