จากปี พ.ศ. 2475 แห่งการสิ้นสุดของระบอบการเมืองการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นการเริ่มต้นของการเมืองการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย มาจนถึงทุกวันนี้ก็ร่วม89 ปี (ย่างเข้า 90 ปีแล้ว) แต่การเมืองไทยในระบอบเสรีประชาธิปไตยก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่
ด้วยยุคที่ข้อมูลข่าวสารมากมาย ประชาชนพลเมืองมีความตื่นรู้ มีส่วนร่วม ในความเป็นไปอย่างกว้างขวาง และมากยิ่งขึ้น จะมัวกล่าวโทษว่าประชาชนพลเมืองไม่รู้เรื่องการเมืองอย่างแต่ก่อนก็คงจะไม่ได้แล้ว และจะไปกล่าวโทษว่าฝ่ายกองทัพชอบแทรกแซงในเรื่องการบ้านการเมืองก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปาก เนื่องจากการปฏิวัติรัฐประหาร มักจะเป็นเรื่องปลายเหตุมากกว่าต้นเหตุ และฝ่ายกองทัพเองก็ตระหนักดีว่า เมื่อฝ่ายกองทัพเข้ามายุ่ง มีบทบาททางการเมือง ก็จะได้รับการคว่ำบาตรแบบเบาบ้าง หนักบ้างจากประชาคมโลก ราชอาณาจักรไทยก็คงจะอยู่ได้อย่างไม่สมศักดิ์ศรี อีกทั้งจะไปกล่าวโทษความคิดอ่านสุดโต่งในเรื่องชาติพันธุ์ การนับถือศาสนา หรือการยึดมั่นถือมั่นในลัทธิอุดมการณ์หนึ่งใด ดังที่หลายๆประเทศเขาประสบกันอยู่ก็ไม่ได้ เพราะสังคมไทยไม่ได้มีเรื่องความคิดสุดโต่งในเรื่องต่างๆ ดังกล่าว
แล้วประเด็นปัญหาว่าทำไมความเป็นประชาธิปไตยของไทยถึงไม่สะพรั่ง ไม่เบิกบาน ไม่รุดหน้าเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศใกล้เคียง เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น มันเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุใด?
ความต่างก็คือในประเทศดังกล่าวเหล่านี้ บรรดาพรรคการเมืองของเขาดูมีการบริหารจัดการที่เป็นเรื่องเป็นราว มีสมาชิกเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญมีอุดมการณ์และจุดยืนที่แน่ชัดกว่าพรรคการเมืองใดๆของไทย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อาจจะเว้นพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคสังคมนิยมที่มีจุดยืนและอุดมการณ์ที่แน่ชัด นอกนั้นก็มักจะมีคำพูดอันสวยหรูแต่การปฏิบัติยังอยู่ห่างไกล
ประเด็นปัญหาหลักๆ ก็คือ พรรคการเมืองของไทยมักจะเริ่มต้น หรือตั้งพรรคกันขึ้นมา มิใช่ด้วยการที่สมาชิกร่วมกันก่อตั้งด้วยอุดมการณ์ที่มีร่วมกัน หากแต่เป็นการก่อตั้งพรรคด้วยองค์บุคคล ซึ่งก็มักจะเป็นนายทหารนอกประจำการ หรือนายทหารที่ครบอายุราชการ หรือจัดตั้งโดยกลุ่มนักธุรกิจ หรือกลุ่มปัญญาชนนักวิชาการที่มีชื่อเสียงกลุ่มเล็กๆ เป็นเสมือนกลุ่มอภิสิทธิ์ชน หรือกลุ่มผู้คนชั้นนำ ทั้งหมดนี้ก็มักจะขาดการโยงใยกับรากฐานสังคม หรือการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนที่หลากหลายได้เข้ามาร่วมในการจัดตั้งพรรคตั้งแต่แรกเริ่ม
พรรคการเมืองของไทยจึงมีลักษณะของการมีผู้นำเป็นตัวยืน หรือเป็นการพึ่งพาองค์บุคคลเป็นหลักเพราะองค์บุคคลนั้นอาจมีทรัพย์สินเงินทอง มียศตำแหน่งและบารมีและอำนาจวาสนา ในแขนงสังคมหนึ่งใด และนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งพรรคการเมือง และรวบรวมสมัครพรรคพวกเป็นการชูและค้ำจุนองค์บุคคลมากกว่าการเอาอุดมการณ์ หรือเรื่องประเด็นปัญหาหลักๆ ของประเทศเป็นที่ตั้งเช่น เรื่องแรงงาน หรือเรื่องสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่ใช้คำว่า โลกสีเขียว เป็นต้น
พรรคการเมืองจึงเป็นที่รวมของกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน ที่มุ่งใฝ่หาอำนาจรัฐ เพื่ออำนาจรัฐ และเพื่อหาประโยชน์เข้าตน พรรคการเมืองของไทยจึงมิใช่ตัวแทนของสมาชิกและตกหล่นในเรื่องอุดมการณ์ จึงเป็นผู้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง แต่ก็มีลักษณะเป็นกลุ่มเฉพาะกิจเฉพาะกาลมากกว่า หรือเพื่อตัวเองเป็นสำคัญ
เมื่อเป็นเช่นนั้น พรรคการเมืองในประเทศไทยจึงเป็นแค่ผู้เล่น หรือผู้มีบทบาทในเวทีการเมือง แต่มิใช่ผู้เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างการใช้อำนาจรัฐ กับการบริการและตอบสนองผลประโยชน์ และความต้องการของประชาชนพลเมือง และของบ้านเมืองโดยรวม
ในทางปฏิบัติ พรรคการเมืองของเรานั้นก็มิได้ทำหน้าที่ที่จะเป็นแบบอย่างของสถาบันประชาธิปไตย และก็มิได้ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และทักษะให้กับสมาชิก และผู้สนับสนุนพรรค และประชาชนพลเมืองเป็นการทั่วไปในเรื่องประชาธิปไตย
พรรคการเมืองไทย จึงเป็นเสมือนผู้มาเอาประโยชน์จากสังคมประชาธิปไตยมากกว่าการเข้ามามีส่วนในการส่งเสริมประชาธิปไตย แม้จะมีบางพรรคที่เคยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมพลเมืองศึกษาขึ้นมา แต่ก็มีความคึกคักอยู่พักหนึ่งก่อนจะจืดจางหายไป ในขณะเดียวกันก็มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับพรรคการเมืองว่า จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญๆ เช่น คณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการส่งเสริมประชาธิปไตยภายในพรรค และคณะกรรมการคัดกรองผู้สมัคร ซึ่งในเรื่องส่งเสริมประชาธิปไตยก็ทำกันอย่างกระท่อนกระแท่นไม่จริงจัง บางพรรคก็แทบจะไม่ดำเนินการใดๆ เลย แล้วก็ไม่มีการติดตามสอดส่องดูแลโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ส่วนการบริหารจัดการภายในพรรคก็หาได้มีความเป็นประชาธิปไตยไม่ ขึ้นอยู่กับผู้นำ และกลุ่มผู้นำ เป็นการกระจุกตัวของอำนาจบริหารพรรค สมาชิกเป็นแค่ฐานและตัวเลข และบรรดาผู้สนับสนุนพรรค เช่น ผู้บริจาคเงินให้ ก็ไม่มีช่องทางที่จะแสดงความคิดเห็น หรือช่วยกำกับดูแลให้พรรคอยู่ในครรลองคลองธรรม
สภาพที่ได้เห็นๆ กันอยู่ ก็คือการที่พรรคการเมืองไทย มีความเป็นของส่วนตัว มากกว่าความเป็นของส่วนรวม เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคไม่มีความเป็นประชาธิปไตย การบริหารจัดการไม่ขึ้นอยู่กับหลักธรรมาภิบาล พรรคการเมืองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำตนเป็นแบบอย่างตอบสนองสมาชิก และสาธารณชน ผลที่ตามมาก็คือ ความไม่สมบูรณ์ของระบอบเสรีประชาธิปไตย
และฉะนั้น การจะเสริมสร้างประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าก็จะไปเน้นที่ตัวอักษร และแผ่นกระดาษที่ออกมาในรูปแบบของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูก เช่น กฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง เท่านั้นไม่ได้ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับการเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติของพรรคการเมือง ให้พรรคการเมืองมีอุดมการณ์ที่แน่ชัด มีการบริหารจัดการภายในที่เป็นประชาธิปไตย และมีบทบาทอย่างสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจความตระหนัก และทักษะของสมาชิก และสาธารณชนในเรื่องประชาธิปไตย โครงสร้างทางการเมือง หลักกฎหมายสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นพลเมือง และการรู้ซึ่งประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทย
เมื่อพรรคการเมืองเข้มแข็ง พรรคก็สามารถตอบสนองสังคมประชาธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สังคมก็เข้มแข็ง ความเป็นประชาธิปไตยของไทยก็จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ และสังคมไทยก็จะได้เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยก่อนที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจะครบ 100 ปี ในอีกไม่นานนี้
พวกเราชาวไทยก็ต้องช่วยกันเรียกร้องให้พรรคการเมืองเป็นพรรคการเมือง มิใช่กลุ่มมาเฟียการเมือง หรือกลุ่มใฝ่หาผลประโยชน์ หรือเหลือบสังคม ในขณะเดียวกัน ก็หวังว่าบรรดาพรรคการเมืองจะได้ตั้งสติ กลับเนื้อกลับตัว และคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องคุณภาพและสาระเนื้อหาของพรรคการเมืองอย่างจริงจังและลึกซึ้งกว่านี้
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความประพฤติอย่างใหญ่หลวง พรรคการเมืองไทยยังไม่ยอมปฏิรูปตนเอง ประชาธิปไตยของไทย ก็ยังจะปราศจากอนาคต ส่งผลให้การบริหารจัดการบ้านเมืองก็ยังจะทุลักทุเลต่อไป
แล้วคงไม่แปลกที่ว่าวันหนึ่งประชาชนจะเกิดคำถามในใจว่า แล้วจะมีพรรคการเมืองกันไปทำไม? ไทยเราจะมีความเป็นประชาธิปไตยโดยไม่มีพรรคการเมืองได้ไหม? สู้ให้เป็นประชาธิปไตยแบบทางตรงไปเลย โดยผู้อาสาจะเข้ามารับใช้บ้านเมืองไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค นั่นก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่านี้สำหรับอนาคตประชาธิปไตยในราชอาณาจักรไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี