เข้าใกล้การเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเข้ามาทุกที โดยกำหนดรับนักท่องเที่ยวจาก 46 ประเทศทั่วโลกในรอบแรกขณะที่สถานการณ์ในประเทศก็ยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19อยู่ในหลายจังหวัด อย่างที่รุนแรงคือในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องมีการเปิดศูนย์เฉพาะกิจเพื่อแก้ปัญหาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็เห็นผลอย่างรวดเร็วในการจำกัดวงของการแพร่ระบาด แต่ที่น่าจับตาคือพื้นที่เชียงใหม่ที่เริ่มมีการแพร่ระบาดอีกครั้ง รวมถึงกรณีการเข้ามาของเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าพลัสและเดลต้าพลัส ซึ่งเดลต้า พลัส มีการพบว่าจะมีการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่าติดง่ายกว่าเดลต้า ขณะที่สถานการณ์การฉีดวัคซีนตอนนี้ของแต่ละพื้นที่ในประเทศไทยพร้อมแค่ไหน ชั่งน้ำหนักกับภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจ คำถามจึงอยู่ที่ว่านายกฯ และครม. ประเมินสถานการณ์และตัดสินใจเรื่องเปิดประเทศเหมือนเดิมหรือไม่? จะมีเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเลื่อนอีกไหม?
แม้สถานการณ์ภายในอาจจะยังไม่พร้อมดีอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่ดูเหมือนการเปิดประเทศก็อาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือเสียงเรียกร้องของประชาชนให้เลื่อนการเปิด หรือปิดต่อไปนั้น น้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีซึ่งตอนนั้นผู้ติดเชื้อรายวันน้อยกว่านี้มาก แม้กระทั่งคนที่ออกมาขวางก็อาจจะถูกสังคมโจมตีไปด้วย เรื่องนี้น่าคิดต่อไปว่าถึงวันนี้หากประเมินแล้วว่าหากเปิดประเทศแล้วอาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับได้ใช่หรือไม่? เพราะด้วยสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ซบเซาจากการจำกัดการเดินทางเกือบสองปีเต็ม การเปิดประเทศก็ไม่รู้ว่าสภาวการณ์ท่องเที่ยวจะกลับมาเฟื่องฟูเหมือนเดิมหรือไม่ แต่ก็เป็นความหวังเดียวของประชาชนในการลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้หากมองในทางการเมืองแล้วก็เป็นแต้มต่อของนายกฯ และพรรคพลังประชารัฐก่อนการเลือกตั้งโดยปริยาย? เพราะปัจจัยผลกระทบจากโควิดอาจกลายเป็นประเด็นรองหากเศรษฐกิจฟื้น ความเชื่อมั่นและความนิยมก็จะกลับมา
ต้องบอกว่าช่วงที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ มีการเคลื่อนย้ายหมากบนกระดานอย่างน่าสนใจ ทั้งในทางการเมือง และในทางการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นข้อสงสัยว่ามีการส่งสัญญาณบางอย่างหรือไม่จนทำให้เกิดการชะลอโครงการเมกะโปรเจกท์ ของกระทรวงคมนาคม การแก้เกมทางการเมืองทั้งในขั้วพรรคพลังประชารัฐและในฝั่งของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง จนที่สุดแล้วพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคที่ออกตัวไปก่อนก็ต้องกลับมารอที่จุดเริ่มต้นพร้อมๆ กัน ทำได้เพียงเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งถัดไปที่หลายฝ่ายกำลังเตรียมความพร้อม และรอสัญญาณเท่านั้น
ขณะที่กติกาการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ที่ได้มีการโหวตกันไปในสภา อาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของพลังประชารัฐ แต่จะดูเข้าทางพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะหากชนะถล่มทลายก็จะทำให้พรรคใหญ่เหล่านี้ได้ที่นั่งในสภามากและทำให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก สำหรับพรรคเพื่อไทยเองก็มีการเคลื่อนไหวเชิงรุกไปกับการดึงเชิงหาจังหวะในขณะเดียวกัน โดยเฉพาะในประเด็นการประกาศแคนดิเดตนายกฯของพรรค ที่พรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่แน่ชัดว่าใครกันจะเป็นแม่ทัพใหญ่ในศึกครั้งต่อไป ซึ่งปัจจัยสำคัญหนึ่งคือต้องเป็นคนที่ผู้นำพรรคตัวจริงไว้ใจ?มีความเชื่อมโยงในเรื่องความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้สนับสนุน และที่สำคัญคือ ต้องได้ใจคนอีสานที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้สมรภูมิเลือกตั้งทางฝั่งของเพื่อไทยก็ยังคงกุมความได้เปรียบสำหรับการสร้างแลนด์มาร์คในดินแดนอิสานอีกเช่นเคย แต่ก็อาจประสบปัญหาการตัดคะแนนกันเองของพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล ที่น่าจะมีการส่งผู้สมัครในทุกเขตและอาจนำมาซึ่งการตัดคะแนนกันเอง เพราะครั้งนี้เพื่อไทยคงส่งลงทุกเขตไม่เว้นเขตแบบครั้งก่อน นอกจากนี้ก็มีข่าวว่าอาจมีการรวมพรรคสายใต้ของกลุ่มวาดะอย่างประชาชาติเข้ามาก็เป็นได้ แต่ยังไม่แน่ใจเรื่องกระบวนการว่าจะทำได้หรือไม่? เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดช่องให้มีการควบรวมพรรคอย่างใด
อย่างไรก็ตาม การที่ยังไม่มีการประกาศผู้ท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เป็นเพราะต้องการชะลอท่าทีในการเดินเกมของใครบางคนหรือไม่ เพราะความตั้งใจที่ประกาศกร้าวออกมานั้นคือเลือกตั้งคราวนี้ต้องแลนด์สไลด์ จึงต้องอาศัยเวลาการตัดสินใจที่รอบคอบเป็นพิเศษ เพราะหากเลือกหรือประกาศผู้นำทัพไปแล้ว ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงเลือกที่จะเดินเกมอย่างช้าๆ แต่เชื่อว่าด้วยประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาของนายใหญ่ รวมถึงทีมผู้บริหารพรรค ย่อมสามารถสร้างโอกาสจากการเลือกผู้นำของพรรค ให้เป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับพลเอกประยุทธ์อย่างแน่นอน การเดินเกมของพรรคเพื่อไทยในอดีตเป็นเครื่องยืนยันว่า บ้านนี้มีความเก๋าเกม และความเร็วในการเปิดตัวก็ไม่ได้มีความหมายในทางการเมืองเพราะที่สุดแล้วหากได้ตัวดีก็จะไม่ต้องใช้เวลามากเพื่อชนะการเลือกตั้ง
ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะกี่รัฐบาล กี่สมัยการเลือกตั้ง ก็ยังสามารถปรับตัวได้ตลอด หากไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็มีบทบาทในการเป็นฝ่ายค้านแกนหลักอยู่เสมอ ซึ่งจุดแข็งที่สุดของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่รูปในการบริหารพรรค หรือยุทธศาสตร์ทางการเมือง แต่คือผู้นำพรรคตัวจริงในสายตาประชาชน ที่ก่อนหน้านี้มีการประกาศว่าอยากมีการยุติบทบาททางการเมือง เพราะต้องการพักผ่อน เลี้ยงหลานอยู่บ้าน แต่สุดท้ายก็ยังถูกมองว่ายังคงเดินเกมทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็มีผลทั้งกับความนิยมของประชาชนต่อพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง การควบคุมสส.ในพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่ รวมถึงการเข้าออกของคนใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในพรรคเพื่อไทยด้วย? เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งหรือไม่ ?
เชื่อว่าการเดิมพันครั้งนี้ ของทั้ง 2 ขั้วตรงข้ามกัน เปิดหน้าแลกกันหมัดต่อหมัด อย่างชัดเจน มีการวัดใจ โดยการสามัคคีโหวตบัตรเลือกตั้ง 2 ใบร่วมกับ พปชร. ซึ่งทำให้พรรคเพื่อไทยเป็น 1 ในพรรคการเมืองที่ได้เปรียบทางการเมืองร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องหนึ่ง
นอกจากเพื่อไทยและพลังประชารัฐ อีกหนึ่งพรรคการเมืองใหญ่ ที่อาจได้รับประโยชน์จากกติกาการเลือกตั้งนี้อยู่บ้าง ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ แม้ปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก่อนหน้านี้ที่มีประเด็นกรณีจะมีการยึดหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งอยู่ในการดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ ไปให้พลเอกประวิตรเป็นผู้ดูแลแทน? จนในท้ายที่สุดจะมีการยกเลิกคำสั่งนั้นไป ทำให้ตอนนี้มีประเด็นคำถามว่าสายสัมพันธ์ระหว่าง 2 พรรคร่วมนี้ จะเป็นอย่างไร ? เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้นายจุรินทร์เข้าใจบทบาทและสถานภาพทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น ระหว่างพรรคร่วม?
แต่ประเด็นสำคัญคือ สถานการณ์การแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร ฐานคะแนนและความนิยมของคนที่เคยสนับสนุนจะเปลี่ยนไปหรือไม่แบบใด เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาการตัดสินใจนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในแคมเปญหาเสียงโค้งสุดท้ายครั้งที่แล้วก็ทำให้คะแนนเสียงเปลี่ยนไปมาก
แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลนักในเวลานี้ เพราะในปัจจุบันเสถียรภาพของฝั่งรัฐบาลเอง ก็ยังมีความแข็งแรงอยู่นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะได้กำลังเสริมหน้าใหม่จากขั้วตรงข้ามที่ช่วยโหวตสวนในสภาอยู่ทุกครั้งและยังมีความได้เปรียบฝ่ายค้านมากขึ้น เสียงในสภาจึงอาจไม่ใช่เรื่องที่เหนือการควบคุมของพลเอกประยุทธ์แต่อย่างใด ก่อนหน้านี้สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังและเป็นสิ่งที่ประชาชน รวมทั้งฝ่ายค้านจับตามองมากที่สุด คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่อาจเกิดขึ้นได้
แต่ตอนนี้ด้วยการเรียกร้องให้ฟื้นเศรษฐกิจ การเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่ภาคการท่องเที่ยวอันเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจในประเทศนั้นแห้งเหี่ยวมานาน ทางรัฐบาลจึงมีความได้เปรียบในการคุมเกม และเริ่มมีการออกมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศ และเริ่มที่จะลดมาตรการเคอร์ฟิวลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นการปูทาง และล่าสุดทางรัฐบาลมีการออกคำสั่งยกเลิกเคอร์ฟิว 17 จังหวัด พร้อมทั้งกำหนดให้คำสั่งนี้จะมีผลในวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าที่จะมีการเปิดประเทศพอดี แน่นอนว่าในบรรดาจังหวัดที่ได้สิทธิ์ในการยกเลิกเคอร์ฟิวล้วนเป็นที่มีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยวรวมถึงจังหวัดเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพมหานครด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังดำเนินการควบคู่ไปกับการนโยบายเชิงรับคือการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ หากจะเกิดการแพร่ระบาด ก็ต้องควบคุม ให้ผลกระทบจะเกิดขึ้นน้อยที่สุดพลเอกประยุทธ์ตระหนักถึงความเสี่ยงนี้ดี การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไม่อยู่เหนือความคาดหมาย แต่จะเป็นวิกฤตหรือโอกาส ขึ้นกับการบริหารและการตัดสินใจ.....
บางครั้ง ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ยังคับแค้นทรมานกว่าความตาย
ไม่เช่นนั้น ในโลกไหนเลยมีคนเสียชีวิต เพราะความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
โกวเล้ง จาก ซาเสียวเอี้ย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี