กองทัพพม่าได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งผลให้ฝ่ายพรรคสันนิบาตประชาธิปไตยแห่งชาติ ที่แม้จะชนะการเลือกตั้งทั่วไป (เมื่อ 8 พ.ย.2563) อย่างท่วมท้นแต่ก็ไม่สามารถเข้าสภาเพื่อทำการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนได้
อย่างไรก็ดี แม้เวลาจะล่วงมาเกือบ 9 เดือนแล้วแต่ฝ่ายกองทัพพม่าก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งเท่ากับว่าการปฏิวัติรัฐประหารยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังจะต้องเดินหน้ากวาดล้างฝ่ายคัดค้านการปฏิวัติรัฐประหารที่กระจายอยู่ทั่วประเทศต่อไป ซึ่งจะนำความสูญเสียให้กับประเทศพม่าอย่างใหญ่หลวง
จนบัดนี้ ผู้คนชาวพม่าได้ล้มตายรวมหลายพันคนแล้ว นอกจากนั้นยังมีนักการเมือง และผู้ต่อต้านที่ถูกรวบตัวไปกักขังอีกหลายพันคน ในขณะเดียวกันยังมีชาวพม่าพลัดถิ่นฐานอีกประมาณเกือบ 750,000 คนกระจัดกระจายอยู่กันอย่างตามมีตามเกิด ตามป่าไม้ภูเขาลำเนาไพร ในขณะที่โรคระบาดโควิด-19ก็ยังคุกคามสังคมพม่าอยู่อย่างไม่ลดละ ซึ่งฝ่ายกองทัพเองก็ไม่สามารถบริการสาธารณสุขให้ประชาชนพลเมืองตนเองได้ แถมยังใช้โรคโควิด-19เป็นเครื่องมือในการสร้างความอ่อนแอให้กับฝ่ายต่อต้าน และเพื่อลดการสนับสนุนจากประชาชนพลเมือง
โดยทั่วไปแล้ว การปฏิวัติรัฐประหารถือเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายสิทธิมนุษยชนและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ อีกทั้งการใช้กำลังปราบปรามและการตั้งข้อหาเถื่อนต่อผู้คัดค้านการปฏิวัติรัฐประหารเป็นการกระทำเข้าลักษณะการเข่นฆ่าและทำลายล้างมวลมนุษยชาติอีกด้วย ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งในกรณีพม่านี้ ประชาคมโลกก็มิได้อยู่นิ่งเฉย ต่างไม่ให้การรับรองความเป็นรัฐบาลของฝ่ายกองทัพพม่า และการปฏิเสธการมีที่นั่งของฝ่ายกองทัพพม่าในองค์การสหประชาชาติ อีกทั้งในกรอบประชาคมอาเซียนล่าสุด ก็มิได้เชิญชวนให้ฝ่ายกองทัพพม่าเข้าร่วมในการประชุมสุดยอดของอาเซียนทางสื่อออนไลน์ และยังร่วมกันเรียกร้องให้ฝ่ายกองทัพพม่ายุติการใช้ความรุนแรง เจรจาความกับฝ่ายต่อต้าน เพื่อหาข้อยุติโดยสันติวิธี และนำประชาธิปไตยคืนสู่ประเทศพม่า รวมทั้งยังต้องให้การต้อนรับผู้แทนพิเศษอาเซียน เพื่อจะได้ช่วยไกล่เกลี่ยหาความปรองดองสมานฉันท์ และนำสันติภาพกลับคืนสู่พม่า แต่ทว่าการตอบสนองจากฝ่ายกองทัพพม่าก็จัดได้ว่าอยู่ในระดับการเพิกเฉย หรืออารยะขัดขืนอยู่
ในทางกลับกัน ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ได้มีการรวมตัวเป็นปึกแผ่นกันมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ และมีการร่วมมือ ร่วมแรงใจกันระหว่างทุกชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในการตกลงที่จะกำหนดให้ประเทศพม่าในอนาคตเป็นสหพันธรัฐแห่งประชาธิปไตย โดยไม่มีการกีดกันหรือทำลายล้างชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์หนึ่งใด ฝ่ายต่อต้านได้ประสบผลสำเร็จในการจัดตั้งคณะมนตรีที่ประกอบด้วยฝ่ายต่างๆ เพื่อประสานงานยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อีกทั้งได้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเรียกว่า National Unity Government-NUG ซึ่งได้รับการติดต่อ สนับสนุนจากประเทศต่างๆ มากขึ้นเป็นลำดับ และล่าสุดที่ปรึกษาประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ได้พบปะหารือกับตัวแทนของรัฐบาล NUG
ทั้งหมดนี้จัดได้ว่าประเทศพม่ามี 2 รัฐบาลซึ่งต่างติดอาวุธด้วยกันทั้งสองฝ่าย และสงครามกลางเมือง ก็อาจจะอุบัติขึ้น และขยายวงมากไปกว่าการปะทะกันอย่างประปรายอย่างในปัจจุบันนี้ โดยฝ่ายต่อต้านเรียกว่าการกระทำของฝ่ายตน เป็นการปฏิวัติสังคมเพื่อล้มล้างระบอบเผด็จการทหาร
สำหรับประเทศไทยนั้น ก็สามารถมีบทบาทได้ใน 3 ระดับด้วยกัน คือในฐานะมิตรประเทศเพื่อนบ้านที่มีเขตแดนร่วมกับพม่ายาวกว่า 2,400 กิโลเมตรในฐานะประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนร่วมกับพม่า และในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ โดยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก
แต่ร่วมประมาณ 9 เดือนที่ผ่านมา ไทยยังไม่ได้แสดงบทบาทโดดเด่นและแน่ชัด ทั้งที่ความเป็นไปในประเทศพม่า โดยธรรมชาติของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง นอกจากนั้น ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน และเป็นประเทศหัวหอกหลักในความเป็นไปของอาเซียนโดยตลอดมา อีกทั้งไทยยังเป็นประเทศสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติและประชาคมโลกโดยตลอดมาด้วย ประเทศไทยจึงเป็นที่คาดหวังของชาวพม่าว่าจะมีความเห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล และเป็นที่คาดหวังของสังคมอาเซียนและประชาคมโลกว่า จะมีบทบาทนำในการช่วยแก้ไขวิกฤติในพม่า โดยเฉพาะการนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่พม่า ไปจนถึงความร่วมมือช่วยเหลือในเรื่องมนุษยธรรม และการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19
แม้ประชาคมโลก และอาเซียนจะคาดหวังในบทบาทนำของไทย แต่ผลที่ออกมาก็ค่อนข้างจะผิดหวังเพราะดูเสมือนว่า เมื่อพม่าเดือดร้อน ร้อนกรุ่น แต่ไทยกลับดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบสูงสุดจากวิกฤตการณ์ในประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นการทะลักไหลเข้ามาของผู้อพยพลี้ภัย ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ผู้มาหางานทำและชีวิตที่ดีกว่า ไปจนถึงเรื่องความรั่วไหลของพรมแดนที่ก่อให้เกิดการแพร่ขยายของโรคระบาดที่มีอยู่แล้ว เช่น โรคมาลาเรีย โรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยของสัตว์ และมาบัดนี้โรคโควิด-19 ไปจนถึงการแพร่ขยายของอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ ค้าสัตว์หวงห้าม ค้าพืชหวงห้ามค้าวัตถุโบราณ ค้าอาวุธเถื่อน ค้ายาเสพติดต่างๆ เป็นต้น
ที่สำคัญ ถึงแม้ว่าความเป็นประชาธิปไตยของไทยจะยังกระท่อนกระแท่นอยู่ เดินไปหน้าถอยหลังกลับไปกลับมาเป็นระยะๆ แต่อย่าลืมว่า เลือดแท้ของคนไทยคือสิทธิเสรีภาพ หรือความเป็นไท และสังคมไทยยังมุ่งมั่นปรารถนาที่จะให้ความเป็นสังคมประชาธิปไตยไปให้ถึงสุดทาง และฉะนั้น เมื่อเพื่อนพม่าของเราต้องถูกลิดรอนในเรื่องสิทธิเสรีภาพ การไร้ซึ่งการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมโหดร้ายของฝ่ายกองทัพพม่าคนไทยเราก็จะต้องมีใจให้กับชาวพม่า เพื่อนบ้าน เพื่อนอาเซียน เพื่อนร่วมมนุษยชาติ เป็นธรรมดา ซึ่งก็ได้มีการแสดงออกซึ่งความห่วงใยและน้ำจิตน้ำใจ โดยชาวบ้านตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า และโดยบรรดาองค์กรที่มิใช่รัฐ ในรูปของมูลนิธิ สมาคม องค์กรอาสาสมัครต่างๆ อย่างแข็งขัน
แต่ทว่าในระดับรัฐบาล หรือในระดับทางการแล้ว กลับดูเพิกเฉย ไม่ห่วงใยห่วงกังวล ผู้ตกทุกข์ได้ยากชาวพม่า โดยรัฐบาลไทยยังเลือกที่จะปิดพรมแดนอยู่ และวางมาตรการผลักดันออกไป มิให้ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง หรือผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นเข้าประเทศ แทนที่จะใช้หลักมนุษยธรรมและประเพณีวัฒนธรรมที่โอบอ้อมอารีเป็นที่ตั้ง ก็กลับปล่อยให้ชาวพม่าร่วมแสนคนตลอดแนวชายแดนตกอยู่ภายใต้การคุกคามของฝ่ายกองทัพพม่าและขาดปัจจัยสี่ ซึ่งหากชาวพม่าคนใดสามารถหาช่องทางลักลอบเข้าประเทศไทยได้ตามช่องทางธรรมชาติ หรือโดยกระบวนการค้ามนุษย์ ก็จะต้องเผชิญกับการตั้งข้อหาว่า เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง สะท้อนการไม่รับรู้ความเป็นไปในพม่า และสาเหตุที่ทำไมชาวพม่าประสงค์ที่จะมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
ประเด็นคือ รัฐบาลไทยนั้นเกรงอกเกรงใจฝ่ายกองทัพพม่า จนไม่แยแสต่อสิทธิและเสรีภาพ และความอยู่รอดของชาวพม่า ซึ่งมันถูกต้องแล้วหรือ?
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยไทยเราได้ให้ที่พักพิงต่อชาวเวียดนาม ชาวลาว รวมทั้งชนกลุ่มน้อย ชาวม้ง ชาวเขมร และชาวพม่า จนเป็นที่ยกย่องกล่าวขวัญในเวทีโลก แต่ทว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ดูจะมีความนึกคิดและพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง
คำถามก็คือ ไทยเราจะปล่อยให้ชาวพม่าฆ่าฟันกันเอง แถมยังจะปล่อยให้ผู้อพยพลี้ภัยมาทนทุกข์ทรมาน และสูญเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาไทยเรากันหรือ? สภาวะจิตใจของเราเป็นอย่างไรกัน? เราคงไม่ยอมที่จะให้เรื่องร้ายๆ เหล่านี้เกิดขึ้น และเมื่อชาวบ้านตลอดแนวชายแดนได้แสดงมิตรจิตมิตรใจ และบรรดาองค์กรอาสาสมัครต่างๆ ก็ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง ขะมักเขม้น ควบไปกับการวิงวอนให้เจ้าหน้าที่รัฐทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน ไปจนถึงฝ่ายปกครองท้องถิ่น มีความอะลุ้มอะล่วยเพื่อให้การช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเคลื่อนตัวไปอย่างคล่องตัว สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เราชาวไทยก็อยู่ในวิสัยที่จะช่วยกันคนละไม้คนละมือในการให้การสนับสนุนกลุ่มผู้นำชุมชน และองค์กรอาสาสมัครเหล่านี้ รวมทั้งองค์กรทางด้านศาสนาต่างๆ อีกด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องช่วยกันเรียกร้องต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้มีใจกับฝ่ายชาวพม่าผู้รักประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ และให้ตัดสินใจเปิดพรมแดนไทยเพื่อการอำนวยความสะดวกทางด้านการช่วยเหลือ ทางด้านมนุษยธรรม ทั้งที่ชายแดนไทยและทางฝั่งชายแดนพม่า และลึกเข้าไปถึงในดินแดนภายในพม่าที่ผู้คนขาดอาหาร น้ำ ยาประจำบ้าน และของใช้ประจำวัน
ประเทศไทยมิใช่ประเทศที่ยากจนข้นแค้น เราอยู่ในฐานะที่จะยื่นมือช่วยเหลือได้ ซึ่งในการนี้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องแบกภาระแต่ผู้เดียว เพราะมีหลายประเทศที่ต้องการให้ความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือชาวพม่า และสังคมโลกก็มีเครื่องมือกลไกที่จะช่วยประสานงาน เช่น องค์การสหประชาชาติ ที่มีความชำนาญการ รวมทั้งประสบการณ์ในการระดมทุนได้
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า หรือยังไม่มีการเริ่มต้นตั้งไข่อย่างจริงจัง เพราะยังรอการประกาศการเปิดพรมแดน การเป็นเจ้ากี้เจ้าการในการเป็นแกนและประสานความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมร่วมกับองค์การสหประชาชาติของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่
อย่าลืมว่า หากพม่าไม่สงบ ไทยเองก็จะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ และความมั่นคง แถมยังจะต้องรับมือกับประเด็นปัญหาข้ามชาติต่างๆ ดังกล่าวอีกเป็นทวีคูณอีกด้วย ซึ่งเมื่อสถานการณ์ในพม่าสงบ ไทยก็จะได้ประโยชน์อย่างมากมายดังที่ทราบกันดีอยู่
เห็นชาวพม่า เพื่อนร่วมอาเซียนลำบากอย่างนี้ สังคมไทยย่อมไม่สามารถที่ทนให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อวิกฤติในพม่าอีกต่อไป เพราะนอกจากจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองแล้ว ยังถือเป็นการละเว้นต่อมนุษยธรรมอีกด้วย ซึ่งมันไม่ใช่บรรทัดฐานของสังคมไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี