ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนา(ออนไลน์) หัวข้อ “สำรวจสภาพความเหลื่อมล้ำไทย ep 2 : ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มประชากร” เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในครั้งนี้มีอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 ท่านคือ ผศ.ดร.ชญานี ชวะโนทย์ กับ ถิรภาพ ฟักทอง มาเล่าเรื่องผลการศึกษาความเหลื่อมล้ำในประเด็นประชากรกลุ่มเปราะบาง
ผศ.ดร.ชญานี อธิบายรูปแบบการศึกษาโดยแบ่งประชากรเป็น 5 กลุ่มด้วยหลากหลายตัวแปร เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ (จนที่สุดถึงรวยที่สุด) อายุ (เด็กจนถึงสูงวัย) ระดับการศึกษา (ประถมถึงมหาวิทยาลัย) สถานภาพการทำงาน (นายจ้าง อาชีพอิสระ ข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างเอกชน) เทียบกับยุคสมัยตั้งแต่กลางทศวรรษ 2530 (ปี 2535) ถึงต้นทศวรรษ 2560 (ปี 2562) พบว่า
1.จำนวนผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มจนที่สุดและกลุ่มจน โดยเฉพาะในปี 2554 และ 2562 จะเห็นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ผู้สูงอายุกลุ่มรายได้ปานกลางไปถึงรวยที่สุดเพิ่มขึ้นไม่มากนัก 2.จำนวนผู้สูงอายุมีผลต่อความเปราะบางของครัวเรือน กล่าวคือ ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ฐานะจะค่อนข้างไปทางยากจน มากกว่าครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุอยู่จำนวนน้อย
3.การศึกษามีผลอย่างมากในการทำให้คนมีรายได้สูงขึ้น โดยกลุ่มประชากรที่จนที่สุดและค่อนข้างจนส่วนใหญ่มักมีการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษา ตรงข้ามกับกลุ่มคนรายได้สูงและคนที่ร่ำรวยที่สุดส่วนใหญ่จะมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยขึ้นไป เนื่องจากการศึกษาสูงจะทำให้สามารถหางานทำในอาชีพที่ใช้ทักษะสูง ซึ่งนั่นหมายถึงรายได้ที่สูงด้วยไปโดยปริยาย 4.ภาคเกษตรมีรายได้น้อยเสมอมา ผลการศึกษาพบกิจการที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มจนที่สุดหรือค่อนไปทางจน
เช่นเดียวกับคนทำงานภาคเกษตรพบถึงร้อยละ 70 ที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว ตรงข้ามกับกิจการหรือคนทำงานภาคบริการที่มักมีรายได้สูง ส่วนข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจ นั้นอยู่ในกลุ่มรายได้สูงตลอดมา และ 5.ปัจจัยที่จะส่งผลให้คนมีสถานะเปราะบาง ประกอบด้วยการศึกษาน้อย (เช่น จบเพียงระดับประถมหรือต่ำกว่า) ทำอาชีพที่ใช้ทักษะต่ำหรืออยู่ในภาคเกษตร เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี (เช่น ไม่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนต) ไม่มีประกันสังคม เป็นต้น
“งานในส่วนนี้ที่ทำในช่วงแรกให้เห็นภาพมากกว่า ยังไม่ได้นำไปสู่ Policy (นโยบาย) ซึ่งพอเราเห็นภาพแล้วว่ากลุ่มที่อาจจะเป็นกลุ่มเปราะบาง เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มค่อนข้างที่จะเหลื่อมล้ำ หมายถึงว่ากลุ่มที่อาจจะรายได้น้อยไปอยู่ที่ไหนบ้าง พอเราเห็นภาพเราเจาะลึกลงไปในการศึกษาเพิ่มขึ้น มันก็ทำให้เราเข้าใจปัญหาเขาได้มากขึ้น ถ้านำไปสู่นโยบายมันก็จะมีลักษณะที่เรียกว่ามันไม่ได้เป็น One Size Fit All (นโยบายเดียวใช้ทุกที่ทุกกลุ่ม)เพราะมันมีหลากหลายมิติที่ซ่อนอยู่
หรืออย่างอันที่เราดูในเรื่องของผู้ประกอบการก็มีความหลากหลาย ต่อให้เป็นภาคอุตสาหกรรมเดียวกัน ภาคบริการ เป็นการค้าขายอย่างเดียวกัน มันก็มีทั้งคนที่สามารถมีรายได้สูงและคนที่อาจจะอยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำไปพร้อมๆ กันก็ได้ มันมีความหลากหลายสูงมาก ที่นี้ก็ต้องมาดูว่าถ้าจะนำไปสู่นโยบาย มันจะต้องหาจุดให้เจอ”ผศ.ดร.ชญานี กล่าว
ด้าน ถิรภาพ กล่าวถึงผลการศึกษาซึ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ เนื่องจากวัยเด็กนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก “คนก็เหมือนต้นไม้ ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี โอกาสเติบโตขึ้นมามีรูปลักษณ์สวยงามก็เป็นไปได้ยาก” ดังนั้นความเหลื่อมล้ำจึงทำให้คนเราไม่เท่ากันตั้งแต่เด็ก อนึ่ง “ข้อมูลเด็กปฐมวัยของไทยค่อนข้างกระจัดกระจาย” จึงเป็นความท้าทายในการทำวิจัยประเด็นนี้
การศึกษานี้ใช้ข้อมูลระหว่างปี 2552-2562 พบปัจจัยที่ทำให้เด็กอยู่ในสถานะเปราะบาง 1.ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว เด็กที่เปราะบางสูงส่วนใหญ่มักอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะไม่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดในการลงทุนด้านสุขภาพและการศึกษา เด็กอาจขาดสารอาหารรวมถึงหลุดออกจากระบบการศึกษา2.โครงสร้างของครอบครัว เช่น เป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งมีผลต่อพัฒนาของการเด็ก รวมถึงเชื่อมโยงกับฐานะทางเศรษฐกิจหรือการหารายได้ด้วย อย่างไรก็ตามงานวิจัยของไทยยังเน้นศึกษาแม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นหลัก ส่วนพ่อเลี้ยงเดี่ยวยังมีไม่มากนัก
3.สัญชาติ ซึ่งพบปัญหาในครัวเรือนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งมีข้อจำกัดของผู้วิจัยหากจะติดตามพัฒนาการเด็กกลุ่มนี้ในระยะยาวเพราะมีการเคลื่อนย้าย
พื้นที่บ่อยครั้งเพื่อติดตามผู้ปกครองไปทำมาหากิน นอกจากนี้ “โควิด-19” ยังเป็น “ปัจจัยซ้ำ” ที่ทำให้เด็กในครัวเรือนที่มีปัญหา 3 ประการแรกข้างต้น เผชิญปัญหาในระดับที่รุนแรงยิ่งขึ้น และที่น่าเป็นห่วงคือ “เด็กกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในครัวเรือนยากจนที่สุดซึ่งในปี 2552 มีอยู่ราว 8 แสนคน อีก 10 ปีให้หลังในปี 2562 แทบไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าทำการศึกษาอย่างยิ่งว่าอะไรคือสาเหตุ
“สิ่งที่เปลี่ยนคือการกระจายตัวของเด็กยากจน ตัวเลขมันยังเหมือนเดิมแต่การกระจายตัวของเด็กยากจนในปี 2009 (2552) กับ 2019 (2562) จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือถูกกระจายมายังภาคกลางมากขึ้น และถูกกระจายมายังภาคใต้อีกนิดหนึ่ง นี่คือ Distribution (การกระจาย) ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นพื้นที่ในการทำ Policy (นโยบาย) การทำวิจัยหรือการทำงาน มันก็อาจเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่จำนวนของเด็กที่อยู่ในครัวเรือนยากจนยังมีใกล้ๆ เดิม”
ถิรภาพ ระบุ
ถิรภาพ กล่าวต่อไปถึงผลกระทบจากปัจจัยโควิด-19 ที่เชื่อมโยงกับโรงเรียน มีทั้งเรื่องอาหารกลางวันที่พบครัวเรือนยากจนพึ่งพามาก และเรื่องเรียนออนไลน์ที่หลายจังหวัดพบสัดส่วนโทรศัพท์มือถือในครัวเรือนค่อนข้างน้อย อนึ่ง “แม้จะเป็นครัวเรือนยากจนเหมือนกัน แต่ความต้องการยังแตกต่างกันไป”ตามบริบทต่างๆ เช่น พื้นที่ (เมืองหรือชนบท) ลักษณะทางวัฒนธรรม นโยบายช่วยเหลือจึงควรเป็นการออกแบบจากล่างขึ้นบน ขณะเดียวกัน การช่วยเหลือครัวเรือนยากจนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ต้องใช้การทุ่มกำลังอย่างมาก
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ซึ่งแม้ผู้วิจัยจะออกตัวว่ายังเป็นงานช่วงแรกที่เน้นสะท้อนปัญหายังไม่ถึงขั้นเสนอทางออกแต่ก็เป็นการชี้ให้เห็นว่าคนยากจนหรือมีรายได้น้อยนั้นกระจายอยู่ในหลายกลุ่ม ซึ่งนโยบายนั้นคงไม่อาจใช้แบบเดียวกัน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี