ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สังคมไทยเกิด “วิวาทะ” ว่าด้วยเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
1) สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยโดยนายชัยเกษม นิติสิริ เปิดประเด็นเรื่องการต้องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ ม.116 และเกิดการโต้แย้งอย่างกว้างขวาง พรรคการเมืองต่างๆ ล้วนแสดงจุดยืนกับเรื่องนี้ พรรคหลักๆ ฝ่ายรัฐบาล อย่างพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ล้วนประกาศชัดเจนว่าไม่มีความคิดที่จะยกเลิกหรือแก้ ขณะที่พรรคฝั่งฝ่ายค้าน ก็ตีกันนัว ระหว่างแฟนคลับของพรรคก้าวไกล ซึ่งใช้เรื่อง ม.112 เป็นจุดขาย กับพรรคเพื่อไทย โดยมองว่า พรรคเพื่อไทยไม่จริงใจ ฉวยโอกาส พูดเพียงเพื่อจะหาความนิยมหวังแย่งฐานผู้สนับสนุนจากพรรคก้าวไกล ที่เป็นคู่แข่งสำคัญเท่านั้น ยิ่งเมื่อทักษิณ ชินวัตร ออกมา บอกว่า
“ผมขอเล่าเป็นประสบการณ์ มาตรา 112 มีมานานตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ น่าจะประมาณปี 2500 ตัวกฎหมายเองไม่เคยเป็นปัญหา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มันเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าบุคคลในกระบวนการยุติธรรมอาจจะเกิดจากความกลัว หรืออาจจะเกิดจากความอยากแสดงความจงรักภักดีโดยไม่ยึดหลักนิติธรรม แล้วเกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือ Abuse of Power เพื่อหวังผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางรัฐบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง เลยทำให้เกิดความไม่พอใจ และยิ่งใช้มากก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจมาก ซึ่งในสมัยก่อน สนง.ตำรวจแห่งชาติ จะมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องที่ร้องเรียนขึ้นมาว่าเป็นเรื่องของการจงใจที่จะละเมิด
มาตรา 112 จริงหรือเปล่า และจำนวนคดีก็มีน้อย และทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาทางอาญา (Due Process of Law) ฉะนั้นปัญหาก็น้อย
...แต่ช่วงนี้ปัญหาเยอะมาก ยิ่งใช้อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความโกรธเคืองแล้วก็ไปโทษกันต่างๆ นานา ซึ่งผมเคยบอกแล้วว่า รัฐบาลน่าจะจับเข่าคุยกับกลุ่มเยาวชนที่เห็นต่างในทุกวันนี้ เราก็จะได้แนวทางที่อยู่ร่วมกันระหว่างคนในวัยที่ต่างกัน ถ้าจะเริ่มติดกระดุมใหม่ที่ติดผิดเม็ด ก็โดยการที่ปรับกระบวนการในการดำเนินคดีของ 112 เสียใหม่ ให้เหมือนในอดีตที่ทำอย่างเป็นระบบระเบียบ ไม่กลั่นแกล้ง ไม่หาเรื่อง แล้วก็ปล่อยผู้ถูกกล่าวหาให้ได้รับการประกันและใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไป และพูดคุยกับเด็กๆ จะได้เข้าใจตรงกัน เราจะอยู่ร่วมกันต้องมีกติกา กติกาอะไรที่มันยอมรับกันได้ทุกฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ
...เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบอกว่ายกเลิกมาตรา 112 เพราะอารมณ์โกรธ จากอารมณ์โกรธ หรือบางคนก็ต้องการจะยกเลิกโดยไม่มีเหตุผล หรือไม่ยกเลิกมาตรา 112 ไม่เอาเด็ดขาดซึ่งแน่นอนมันมี Yes and No แต่ขณะเดียวกันนั้น การพูดคุยกันน่าจะดีกว่า และการจัดระเบียบให้เป็นระเบียบเสียจะดีกว่า วันนี้บ้านเมืองเหมือนกับอยู่ในภาวะที่ไม่มีการจัดการ ไม่มีการบริหารบ้านเมืองเปรียบเสมือนอยู่ในภาวะไม่มีการบริหารการจัดการ คงเลือกใช้แต่ Law and Order ซึ่งมันเป็นการขัดหลักที่จะให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีไม่แตกแยก
...ดังนั้นสรุป ผมขอแนะนำว่าก่อนจะมาบอกว่าจะแก้มาตรา 112 หรือไม่ ขอให้ไปเริ่มย้อนคิดว่า เมื่อตัวกฎหมายไม่เคยมีปัญหา แต่คนที่เป็นปัญหาคือคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมและคนที่นำประเด็นนี้มาสร้างความแตกแยกในสังคมต่างหาก ถ้ามีการจัดระเบียบให้ถูกต้องและมีการพูดคุยกับผู้เห็นต่างบ้าง ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และนำไปสู่การรักษากฎหมายที่เป็นธรรม และก็จะไม่มีใครเดือดร้อนแต่วันนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่าประเทศขาดการบริหารการจัดการเลือกที่จะใช้ Law and Order เท่านั้น ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดดราม่า หายใจยาวๆ มาเริ่มต้นใหม่ตามที่ผมแนะนำเบื้องต้น เพื่อความรักเพื่อการถวายความจงรักภักดีที่ถูกต้อง ถูกทาง ไม่ให้เจ้านายต้องถูกครหาโดยที่ไม่รู้”
2) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัว เรื่อง “แก้ไข ม.112 เสรีภาพที่ไร้ขอบจำกัด ตรรกะวิบัติ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ว่า ความเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากมีการจุดประเด็นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งประเด็นแก้ไขคงหนีไม่พ้นร่างเดิมของพรรคก้าวไกล ที่ต้องการแก้บทยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษต่อความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมมองว่า นี่คือ การขอแก้เพื่อต้องการให้ตนเองสามารถกระทำความผิดกฎหมายได้นั่นเอง ซึ่งเป็นตรรกะที่วิบัติและผิดหลักการในการแก้ไขกฎหมายโดยทั่วไป
ที่สำคัญ จะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” เพราะองค์พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขของรัฐ ที่ต้องดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศของประเทศตามการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองมิให้มีการละเมิดพระมหากษัตริย์ซึ่งมีสถานะพิเศษกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุด้วยว่า มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ก็คือ องค์ประกอบหนึ่งของกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ซึ่งมีไว้เพื่อปรามคนกระทำผิดคิดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็เหมือนกับบทบัญญัติกฎหมายอื่นๆ ถ้าไม่ฝ่าฝืนก็ไม่มีโทษ
ที่สำคัญ คือ อยากให้เข้าใจว่า ประมุขของรัฐ ล้วนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ยกตัวอย่าง ราชอาณาจักรสเปนกำหนดว่า “พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ จะละเมิดมิได้”ราชอาณาจักรสวีเดน พระมหากษัตริย์ หรือพระราชินี ทรงเป็นประมุขประเทศ และเป็นที่เคารพสักการะ จะกล่าวหาฟ้องร้องมิได้และสหพันธรัฐมาเลเซีย สมเด็จพระราชาธิบดี จะได้รับการปกป้อง ใครจะละเมิดมิได้ และไม่มีอำนาจสามารถเอาผิดทางกฎหมายได้ หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ก็เคยมีคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐมาแล้ว เช่น ศาลมลรัฐเคนตักกี ตัดสินจำคุกนายจอห์นนี่ โลแกน 33 เดือน กรณีเขียนบทกวีข่มขู่ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา
“ที่หยิบยกมาให้เห็น ก็เพื่อชี้ว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้มีอะไรผิดแปลก แต่ความแปลกแยกทางความคิด ที่สั่งสมกันมาแบบผิดๆ ต่างหาก ที่กำลังทำเรื่องปกติให้กลายเป็นเรื่องไม่ปกติ และเพราะมีคนไม่ปกติต้องการหาประโยชน์จากการเมืองไปร่วมผสมโรงด้วย เลยยิ่งทำให้เรื่องราวเลยเถิด จึงอยากฝากถึงพรรคเพื่อไทย และทุกพรรคการเมือง หยุดคิดสักนิด ก่อนจะกระโดดเข้ากองไฟ” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย
3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เสนอผลสำรวจ เรื่อง“ม.112 : เบื้องหลังและความจำเป็น” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ(Qualitative Research) จำนวน 2,272 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-4 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 ระบุ การมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์ เช่น ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-อังกฤษ เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.0 ระบุ สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหลักของการก่อร่างสร้างชาติในการกอบกู้เอกราช ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขของราษฎร และร้อยละ 96.1 ระบุ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิก หรือ แก้ไข มาตรา 112 เพราะการมีอยู่ ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติและสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้ เกือบร้อยละร้อย หรือร้อยละ 99.1 ไม่ต้องการให้ใคร หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม. 112 มาเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง หาคะแนนเสียงและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวสร้างความแตกแยกขัดแย้งในชาติ ในขณะที่ร้อยละ 98.9 ระบุ จำเป็นต้องป้องกันและปกป้องการล้มล้างสถาบันฯ จากกลุ่มไม่หวังดี บิดเบือนใส่ร้ายและจาบจ้วง ร้อยละ 98.4 ระบุ ประมุขของทุกประเทศ เป็นเกียรติศักดิ์ศรีและสถาบันหลักของชาติ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองด้วยกฎหมาย และร้อยละ 98.4 เช่นกัน ระบุไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และ ม.112 มาเป็นเครื่องมือปลุกปั่นเยาวชน คนรุ่นใหม่ให้ล้มล้างสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาภักดีของคนในชาติ
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.2 ระบุมีความพยายามจากขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ เข้ามาแทรกแซง เชื่อมโยงกับกลุ่มต่อต้านสถาบัน ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติไทยและร้อยละ 96.2 เชื่อว่ามีกลุ่มต่อต้านสถาบันและแกนนำรับเงินและผลประโยชน์อื่น เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจในการโค่นล้มสถาบัน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลล์ชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มที่สมประโยชน์กับต่างชาติ ต้องการการเปลี่ยนแปลงการปกครองและตักตวงผลประโยชน์ของชาติไปจึงไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำสถาบันอันเป็นที่รัก ศรัทธาและศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติไปแสวงหาผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง รุนแรงบานปลาย อันนำไปสู่ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติได้
โดยประชาชนทั่วไปและทุกภาคส่วนน่าจะนำข้อมูลที่ค้นพบนี้ ไปวิเคราะห์โจทย์สำคัญนี้ให้ชัดเจนว่า โจทย์อยู่ที่ไหน ระหว่างหลักนิติธรรมของมาตรา 112 หรือ กระบวนการนำมาตรา 112 ไปใช้ และอื่นๆ ที่ทุกฝ่ายต้องตอบให้ถูกโจทย์และจะไปสู่แนวทางแก้ไขได้ถูกทาง นำไปสู่สันติสุขและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความปลอดภัยของประชาชนทุกคน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า หลักนิติธรรมของมาตรา 112 เป็นหลักที่สำคัญต่อการปกครองประเทศที่มีความเป็นสากล เพราะนานาประเทศย่อมมีกฎหมายพิเศษคุ้มครองประมุขของประเทศผู้ใดในประเทศนั้นๆ จะละเมิดหรืออาฆาตมาดร้ายประมุขของประเทศไม่ได้ โดยประชาชนคนไทยทั่วไปก็ทราบดี แต่มีเพียงคนบางกลุ่มที่พยายามบิดเบือน จุดประเด็นให้เกิดเป็นเชื้อไฟและพัดโหมให้กลายเป็นความขัดแย้งขึ้นในหมู่ประชาชนที่อาจลุกลามบานปลายได้
“เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นความพยายามของขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ ที่แทรกแซงเพาะเชื้อก่อเหตุวุ่นวายนอกประเทศอย่างที่ทำไปในฮ่องกงและอาหรับ เข้ามาเอื้อผลประโยชน์ให้แกนนำขบวนการล้มล้างสถาบันในประเทศไทย ที่ทุกฝ่ายย่อมรู้เท่าทันและควรช่วยกันป้องกันไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแสวงหาอามิสสินจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ทั้งทางการเมืองและการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างชาติปั่นหัวคนไทยให้ขัดแย้งกันเอง ตักตวงผลประโยชน์ออกนอกประเทศ นำสู่ความอ่อนแอของชาติไทยในทุกมิติ และเปิดพื้นที่ให้ประเทศไทยซึ่งเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้มและมิตรภาพกับทุกประเทศ กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงล่อเป้าต่อการปะทะและทำลายผลประโยชน์ระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาค จนไม่ใช่ดินแดนแห่งความสงบสุขดังที่เคยเป็น จะเห็นได้จากการเริ่มเกิดความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติไทยและพัฒนาความรุนแรงต่อเนื่องมา”ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว
4) นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวเรื่อง “ม.112 เรื่องสำคัญ อย่าใช้กลั่นแกล้งประชาชน ใช้สภาเป็นทางออก” โดยเนื้อหาระบุว่า เราต้องยอมรับว่าในสังคมปัจจุบันมีการใช้ ม.112มาเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งประชาชน กักขังนักโทษทางความคิด เพราะฉะนั้นในประการแรกที่จะต้องพิจารณาคือ เราจะทำอย่างไร เพื่อที่จะไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
ในส่วนที่ว่าจะแก้ม.112 นั้น ไม่ว่าจะเป็นบทลงโทษ หรือในรายละเอียดข้อใดก็ตาม ทางออกในรูปแบบประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นเรื่องที่ดำเนินการโดยใช้หลักการสภา (สส.) ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดที่ต้องการจะแก้ก็สามารถยื่นร่างแก้ฯหลังจากนั้น ระบบสภาจะทำงาน โดยการอภิปรายหรือถกเถียง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นั่นคือวิธีของประชาธิปไตย
“ผมเป็นนักการเมืองที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของสังคม ม.112 ไม่ควรเป็นปัญหาในสังคม ควรบังคับใช้บนความถูกต้อง นี่คือจุดยืนของผมในฐานะประชาชนและเป็น สส. ที่รับใช้ประชาชน”
สรุป : ผมเลือก 4 ความเห็นหรือ 4 แหล่งข้อมูลนี้มาเพื่อจะบอกกับทุกท่านว่า
1.ในสังคม “ประชาธิปไตย” เมื่อมีความขัดแย้งใด ควรที่จะเริ่มต้นกระบวนการรับฟัง ถกเถียง และหาคำตอบอย่างเป็นระบบ ซึ่งที่ที่เหมาะสมที่สุดคือ สภาผู้แทนราษฎร ยิ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของ “กฎหมาย” สภาผู้แทนราษฎรคือที่ทำงานของตัวแทนประชาชนทั่วประเทศ ทำหน้าที่ “นิติบัญญัติ” ดังนั้นแทนการวิวาทกันอยู่ในพื้นที่ที่ไม่อาจควบคุมประเด็นได้ และ “เลยเถิด” ไปไกล เพื่อหา “คะแนนนิยม” จนสถาบันพระมหากษัตริย์บอบช้ำโดยไม่จำเป็น เอาเรื่องนี้ไปถกเถียงกันในสภาเถิดครับ
2.หยุดการหาคะแนนจากเรื่องนี้กัน หยุดความสุดโต่งทั้ง 2 ข้าง ที่ผลลัพธ์คือฉุดกระชากสถาบันที่ควรอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง มาเป็นความขัดแย้ง ชนิดปลุกเร้าให้คนในบ้านเมืองต้อง “เลือกข้าง” การเมืองควรแข่งกันที่ “ฝีมือ” ที่ “วิสัยทัศน์” และ “ทีมงานมืออาชีพ” ที่จะทำให้คนเลือกเพราะเชื่อมั่นว่าจะนำพาประชาชน ประเทศชาติ ไปสู่ความสุข ความสงบ การมีโอกาสที่ดีขึ้นในชีวิต มากกว่าสร้างลัทธิ“ความรู้สึก” ขึ้นมา เพื่อ “แบ่งแยกแล้วปกครอง”
3.ใครจะเสนอเรื่องนี้เข้าสภา ก็อย่าเพิ่มไปก่นด่าไปกล่าวหา รับทุกข้อเสนอเข้าสู่กระบวนการ ซึ่งมี 3 ขั้นที่สามารถ “ตีตก” ได้โดยชอบ คือ รับหลักการ แปรญัตติ และลงมติ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ผ่านตั้งแต่ชั้นรับหลักการ แต่มันสามารถอธิบายกับสังคมได้ว่า เรื่องนี้ผ่านการถกเถียงและได้ข้อสรุปตามกระบวนการประชาธิปไตยแล้ว หรือต่อให้ผ่านชั้นลงมติแล้วก็ยังต้องไปผ่านวุฒิสภาอีกชั้น หลังจากนั้นหากยังผ่านอยู่ก็มีเรื่องของการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ตามมา ถามว่ายากหรือง่ายที่เรื่องนี้จะผ่านได้ จนต้องมาทำให้ประชาชน “หวาดกลัว โกรธ เกลียด” กันจนขาดสติ
4.พรรคการเมืองที่รักสถาบันจริงๆ จงเร่งสร้างความรับรู้ในสิ่งที่สถาบันทำ ทำเพื่อเปลี่ยนชีวิตของราษฎร ค้ำจุนประเทศ และเป็นเสาหลักหนึ่งของบ้านเมือง โดยเฉพาะในยามที่เกิดความขัดแย้ง ไม่ใช่ดึงสถาบันลงมาเป็นความขัดแย้ง ซึ่งเท่ากับทำลาย “ความมั่นคงของบ้านเมือง” โดยอัตโนมัติ
5.ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจและเป็นนายกรัฐมนตรีมา จนถึงปัจจุบัน เคยมียุทธศาสตร์สร้างความรับรู้เชิงบวกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์บ้างไหม เคยใช้สื่อของรัฐทำให้คนรับรู้ถึงโครงการต่างๆ ที่ “เปลี่ยนชีวิต” ของประชาชน โดยให้ประชาชนเหล่านั้นเป็นผู้บอกเล่าตามความเป็นจริงบ้างไหม หรือเพียงใช้สื่อของรัฐให้เครือข่ายผู้สนับสนุนเข้าไป “มีงานทำ” และประคอง “ความมั่นคงทางการเมือง” ของตัวเองเท่านั้น
มาเปลี่ยนความไม่รู้ด้วยความรู้ มาต่อต้านอคติด้วยกระบวนการที่เปิดกว้างและมีวุฒิภาวะกันดีกว่า เพราะถึงที่สุดม.112 ไม่ได้ผิด ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถือโอกาสที่คนถูกทำให้สับสน ได้เข้าใจ ได้ข้อสรุป และ ปิดประตู “การหาประโยชน์จากการปลุกปั่น” ในเรื่องนี้กันเสียทีเถิดครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี