พรรคเพื่อไทยกลับลำ 360 องศา ประกาศไม่แตะต้องก.ม.อาญามาตรา 112 หลังจากนายทักษิณ ชินวัตรโพสต์ข้อความว่ามาตรา 112 ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ถึงแม้พรรคเพื่อไทยยอมกลับลำ แต่ผู้ที่มุ่งมั่นบั่นทอนสถาบันฯมาตั้งแต่ต้นอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หาได้ยอมหยุดเคลื่อนไหวให้แก้หรือยกเลิก ก.ม. ปกป้องสถาบันสำคัญนี้ไม่ หนำซ้ำยังรณรงค์เคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นไปอีก
นายธนาธร โพสต์เฟซบุ๊คเรียกร้องให้ประชาชนลงชื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 ในข้ออ้างว่าอย่าให้จำเลยที่ถูกดำเนินคดีต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว และล่าสุดเขาโวว่าบัดนี้มีคนลงชื่อสนับสนุนทะลุแสนรายแล้ว
ในฐานะที่ติดตามและศึกษากลุ่มคนที่พยายามบั่นทอน สั่นคลอนความมั่นคงของชาติมาตั้งแต่ 2475 อยากบอกนายธนาธรและนายปิยบุตรว่าต่อให้มีคนหรือโรบอทลงชื่อสนับสนุนกี่ล้านรายก็สั่นคลอนสถาบันไม่ได้เพราะปวงชนชาวไทยไม่ยอม
นายธนาธร ยังคงรณรงค์ทางสื่อออนไลน์กล่าวหาว่าก.ม.ปกป้องสถาบันถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง สิ่งที่ตนกังวลมากกว่า คือในยุคนี้มีคนจำนวนมากถูกกลั่นแกล้งจากกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทุกวันนี้เรามีคดีการเมืองกว่า 800 คดี มีผู้ถูกกล่าวหากว่า 1,500 คน เฉพาะมาตรา 112 เองมีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 150 คดี ไม่มียุคไหนที่เป็นยุคมืดที่รัฐบาลใช้กฎหมายกดขี่ปิดปากประชาชนเท่านี้มาก่อน
นายธนาธร และนายทักษิณเป็นนักการเมืองผู้ทำผิดกฎหมายเป็นอาจิณใช้อะไรคิด ว่าผู้ถูกดำเนินคดีคือผู้คิดต่างทางการเมือง เท่าที่ได้ติดตามการดำเนินคดีตลอดปี 2564 ไม่เคยมีคดีไหนที่จำเลยถูกศาลตัดสินจำคุกในความผิดฐานละเมิดมาตรากฎหมายอาญามาตรา 112
ผู้ที่ถูกจำคุกอยู่ทุกวันนี้ล้วนแต่มีความผิดในคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นคดีวางเพลิง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ทำลายทรัพย์สินทางราชการ คดีอาวุธปืน และละเมิดอำนาจศาล ส่วนจำเลยในคดีละเมิดมาตรา 112 นั้น ที่ไม่ได้ประกันตัวเพราะละเมิดคำสั่งศาลที่ไม่ให้กระทำผิดซ้ำและก่อความวุ่นวายในระหว่างได้การประกันตัว
ผู้ที่ศาลไม่ให้ประกันตัวระหว่างดำเนินคดีเพราะกระทำความผิดซ้ำซากและไม่เคารพกฎหมาย ทำผิดในข้อหาร้ายแรงหากปล่อยตัวไปอาจหนีคดีได้หรือไม่ก็ออกมากระทำความผิดซ้ำอีก
จำเลยบางคนที่ไม่ได้ประกันตัวระหว่างดำเนินคดีถูกฟ้องคนเดียวถึง 21 กระทง เพราะมีพฤติกรรมไม่เกรงกลัวกฎหมายใส่ร้ายทำลายสถาบันหลักของชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก็ไม่เข้าใจว่านายทักษิณ นายปิยบุตร และนายธนาธรใช้อะไรคิด ที่พูดว่าการใช้วาจากักขฬะหยาบช้าใส่ร้ายมุ่งทำลายสถาบันหลักของชาติคือความเห็นต่างทางการเมือง
ส่วนที่นายทักษิณโพสต์ข้อความว่ามาตรา 112ไม่มีปัญหาแต่การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามหลักยุติธรรม (Rule of Law) เพราะมุ่งเน้นทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก็เป็นตรรกะวิบัติที่เหมือนกับการสนับสนุนให้ท้ายคนรุ่นใหม่ใส่ร้ายทำลายสถาบันได้อย่างเสรี โดยไม่ให้จับกุมดำเนินคดี หากจับกุมได้ก็ให้ประกันตัวโดยทันที่ เพื่อให้เข้ากับหลักสากลในการแสดงอย่างเสรี
นายทักษิณพูดราวกับว่าในประเทศไทยใครจะนึกด่าใครก็ทำได้ นายทักษิณพูดโดยไม่สำเหนียกว่าชาวบ้านธรรมดาถ้าถูกหมิ่นประมาทใส่ร้ายให้เสียหายก็มี ก.ม.คุ้มครองให้ดำเนินคดีได้ โดยที่นายทักษิณเองก็เคยฟ้องผู้อื่นที่คิดว่าหมิ่นประมาทเขามาแล้วนับร้อยราย
ผู้เขียนเองเคยถูกนายทักษิณฟ้องหมิ่นประมาทเพราะพูดถึงหนังสือเรื่องรู้ทันทักษิณ คนทำข่าวอย่างเราหนีไม่พ้นข้อหาหมิ่นประมาท ผู้เขียนเคยถูกฟ้องหมิ่นประมาทมาแล้ว 5 คดีจากผู้ที่มีอำนาจบาตรใหญ่ในวงการการเมือง ฟ้องโดยอดีตนายกรัฐมนตรีสองคนสองคดี ฟ้องโดยรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทยอีกสองคดี หนึ่งคดีฟ้องโดยอดีตประธานสภา และทั้งห้าคดีผู้เขียนไม่มีความผิด หลุดรอดมาได้เพราะวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตและเพื่อประโยชน์ของสังคม
ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่นายปิยบุตรพยายามปลุกระดมรณรงค์ให้แก้มาตรา 112 จากโทษอาญาเป็นคดีแพ่งคือให้ศาลสั่งปรับแทนการโทษจำคุก เพราะโทษปรับเป็นเงิน ทำให้นายทุนใหญ่ทุ่มเงินให้เด็กรุ่นใหม่ใส่ร้ายทำลายสถาบันฯร้ายแรงไปกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะคนรุ่นใหม่มั่นใจว่าถึงอย่างไรผู้บงการหรือนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคนรุ่นใหม่ก็พร้อมจะเสียค่าปรับให้
ทุกวันนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่บงการให้เด็กรุ่นใหม่ใส่ร้ายสถาบันก็ทุ่มเงินประกันตัวให้เป็นแสนเป็นล้านอยู่แล้วยังทำได้ นับประสาอะไรกับค่าปรับไม่กี่หมื่นบาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในฐานะเป็นคู่กรณีหรือฟ้องประชาชนได้ดังที่#คุณศุภมาส เสนะเวศ นักกฎหมาย และนักวิชาการอิสระผู้เทิดทูนสถาบันเขียนในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า
“การคุ้มครองประมุขของประเทศนั้น เพื่อธำรงรักษาเกียรติของประมุข อันเป็นหน้าตา เป็นเกียรติเป็นศรีของรัฐชาติ การละเมิดโดยหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ใส่ร้ายป้ายสีย่อมต้องถือเป็นความผิดต่อรัฐเพราะกระทบต่อเกียรติภูมิของรัฐ มิใช่การละเมิดในฐานะปัจเจกบุคคล
ในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม รากเหง้าของชาติไทย นั้นมีพื้นฐานคือความจงรักภักดี ความเคารพเทิดทูน ต่อพระมหากษัตริย์ จึงออกแบบให้ประชาชนที่พบเห็นการล่วงละเมิดอันเป็นการเหยียบย่ำน้ำใจ สามารถร้องทุกข์แจ้งความเอาผิดต่อผู้กระทำได้
นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งเมตตาธรรมจึงมิประสงค์จะมาสู้รบปรบมือต่อพสกนิกรของพระองค์แม้จะถูกเหยียดหยาม ลบหลู่ ให้เจ็บช้ำน้ำพระทัยเพียงใด
ในส่วนของแนวคิดเรื่องคดีแพ่งนั้น มีผู้วิพากษ์ไปแล้วบ้างว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น คนมีเงินหรือมีนายทุนหนุนหลัง ก็คงจะดูหมิ่นเหยียดหยามกันสนุกปาก เพราะมีเงินจ่ายค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในการสู้คดี
ข้าพเจ้าพิเคราะห์แล้วกลับเป็นแนวคิดของชนชั้นนายทุนกระไรอยู่...ขณะที่เรียกหาความเท่าเทียม กล่าวถึงศัพท์คำว่าเท่าเทียม ในประเด็น Gender หรือมิติหญิงชายนั้น เรานิยมคำว่า “ เสมอภาค” มากกว่า เขาว่ากันขำๆ ว่าเพราะตามธรรมชาติของเพศกำเนิดนั้นผู้หญิงจะเท่าผู้ชายไม่ได้ เพราะไม่มีจู๋ ผู้ชายจะเท่าผู้หญิงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเต้านม
กลับมาแนวคิดเรื่องเงินๆ ทองๆ ต่อเนื่องจากเรื่องคดีแพ่ง อันที่จริงแล้ว ในการพัฒนาระบบกฎหมายในการสร้างความเป็นธรรม ก็ยังมีแนวคิดว่า การกำหนดอัตราค่าปรับที่เท่ากันในคดีลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นใครนั้นก็ไม่เป็นธรรม
เพราะเงินจำนวนเท่ากัน มีค่าสำหรับแต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่มีเงินเดือนหนึ่งแสนบาท ปรับสักสองหมื่นบาท นี่ก็เล็กน้อยมาก ไม่เดือดร้อน แต่คนที่เงินเดือนหนึ่งหมื่นสองพันบาท ปรับสองหมื่นบาทนี่ก็อาจต้องไปกู้ยืมเขามา แล้วผ่อนสิบเดือน
เคยมีแนวคิดเรื่อง ปรับเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ด้วย เช่น ปรับ ๑๐% คนรายได้หนึ่งแสน ถูกปรับหนึ่งหมื่นคนรายได้หมื่นสอง ปรับแค่หนึ่งพันสองร้อยบาท ฟังดูดีมีความเข้าท่า แต่ในทางปฏิบัตินั้นแสนยาก เลยยังปรับเป็นจำนวนเงินตามที่กำหนดไว้ อยู่อย่างนี้แหละ
ดังนั้น ๑.มาตรา ๑๑๒ ต้องเป็นกฎหมายอาญาเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน #รัฐเป็นผู้เสียหาย
๒.ประชาชนคนไทยมีสิทธิ์ร้องทุกข์ได้
๓.กระบวนการพิจารณาคดีต้องรอบคอบ รัดกุม ว่าอย่างไรเข้าองค์ประกอบความผิด อาจมีคณะกรรมการพิจารณาโดยเฉพาะ ในองค์กรสอบสวนทั้งสององค์กร คือตำรวจ (พนักงานสอบสวน)และอัยการ
๔.เมื่อกลั่นกรองรอบคอบว่าเข้าองค์ประกอบความผิดแล้ว ในการลงโทษศาลก็จะได้พิจารณาตามความหนักเบาแห่งพฤติการณ์
๕.ไม่ควรมีการรอลงอาญา
๖.หากการกระทำนั้นมิเข้าองค์ประกอบความผิดหรือมิได้มีการกระทำผิด หรือพยานหลักฐานเป็นเท็จประชาชนที่มาแจ้งความร้องทุกข์มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ จุดประกาย เปิดประเด็นไว้ เพื่อพิจารณา
ศุภมาส เสนะเวส
๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยกว่าหกสิบล้านคนเห็นด้วยกับคุณศุภมาส ที่ว่าการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความผิดต่อรัฐและต้องมีโทษทางอาญาจะบิดเบือนมาเป็นโทษทางแพ่งไม่ได้
จึงฟันธงว่าความพยายามยกเลิก ก.ม. มาตรา 112 ต่อให้คนลงชื่อในโซเชียลกี่ล้านคนใช้โรบอทกี่ล้านตัว ก็ยกเลิกไม่ได้เพราะคนไทยไม่ยอม
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี