เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นพ.ประเวศ วะสี ได้เขียนบทความพิเศษ “ระบบประชาธิปไตยใหม่” คลายวิกฤตขัดแย้ง-เหลื่อมล้ำ ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า อธิบายแนวคิดสำคัญที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งผมสนใจมาก เลยอยากนำมาอภิปรายต่อในบทความนี้ครับ
คุณหมอให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ประเทศไทยพัฒนาระบบประชาธิปไตยไม่ถึงไหน ก็เพราะเราสู้กันอยู่ใน “ระบบประชาธิปไตยโบราณที่ล้าสมัยแล้ว” โดยยกตัวอย่างความเหลื่อมล้ำทางอำนาจในประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่าง สหรัฐอเมริกา ว่าเกิด “ปรากฏการณ์ 99 : 1 คือการพัฒนาเป็นประโยชน์ต่อคน1 เปอร์เซ็นต์แต่อีก 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์” และ ระบบการเลือกตั้ง ตลอดมามักจะ “ได้ผู้แทนที่ค่อนข้างเป็นคนประเภทเดียวคือผู้มีความสามารถในการหาเสียงให้ได้รับเลือกตั้ง แบบที่เรียกว่านักการเมืองอาชีพ ซึ่งตกอยู่ในอาณัติของนายทุนได้ง่าย เพราะต้องอิงอาศัยแหล่งเงินแบบที่เรียกว่าลิงกินกล้วยจึงมีเจ้าของสวนกล้วยหรือผู้มีอิทธิพลทางการเงินเข้ามาคุมกลุ่มก๊วนทางการเมือง เพื่อเป็นอำนาจต่อรองโควตารัฐมนตรี”
คุณหมออธิบายต่อถึงสาเหตุความล้าหลังนี้ว่า “ระบบประชาธิปไตยที่ใช้กันในปัจจุบันเกิดขึ้นในสังคมครั้งโบราณ ซึ่งสมัยนั้นการติดต่อสื่อสารและการคมนาคมไม่สะดวก ประชาชนต้องเลือกตัวแทนขี่ม้าหรือนั่งเกวียนไปประชุมที่เมืองหลวง เป็นประชาธิปไตยทางอ้อม (Indirect democracy) ที่ประชาชนไม่ได้ใช้อำนาจโดยตรง แต่ผ่านการเลือกตัวแทน หรือประชาธิปไตยแบบใช้ตัวแทน (Represented democracy) ในขณะที่สมัยปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมเป็นไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ประชาชนทั้งประเทศสามารถรับรู้สิ่งเดียวกันทั้งประเทศทันที และสามารถมีส่วนร่วมได้โดยตรง”
มาถึงจุดนี้ ผมเห็นด้วยในหลักการว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงคือการที่อำนาจอยู่ในมือของประชาชนอย่างทั่วถึง ซึ่งในสมัยก่อนที่จะเอาคนเป็นล้านคนมาอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อให้ความเห็นและร่วมตัดสินใจมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ในปัจจุบันที่สามารถเชื่อมคนจากต่างมุมโลกมาประชุมกันได้ทุกวัน หรือ ระบบคัดกรองความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ทุกคนมีส่วนร่วมเป็นไปได้ง่ายขึ้น อาจเอื้อให้เราสามารถไปสู่ประชาธิปไตยทางตรงได้มากขึ้น
ผมจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอทางออกข้อแรกของคุณหมอเพื่อ “ออกแบบระบบประชาธิปไตยใหม่ที่ฐานกว้าง” โดย “ระบบ Big Data ประชาธิปไตยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้คนไทยสามารถสื่อสารได้ตลอด 24 ชั่วโมง อาจเป็นเรื่องปัญหา ร้องทุกข์ข้อเสนอแนะ มีการวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับอย่างทันควัน ให้เป็นความรู้เพื่อการใช้งาน นำไปเผยแพร่และองค์กรปฏิบัติได้รับรู้
เพื่อนำไปแก้ไข หรือไปสังเคราะห์เป็นนโยบาย ข้อดีของเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้คือสามารถสำรวจประชามติด้วยต้นทุนราคาถูกได้ทุกวัน”
อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อสังเกตที่ชวนถกเถียงสำหรับข้อเสนอทางออกอีก 2 ข้อของคุณหมอ ในช่วงท้ายๆ บทความ ที่ดูแล้วเหมือนจะไม่ต่างกับประชาธิปไตยที่คุณหมอเรียกว่า “ล้าหลัง”จากการที่เป็นประชาธิปไตยทางอ้อมอีกหรือไม่ ในข้อเสนอทางออกข้อสอง คุณหมอเสนอว่า ควรส่งเสริมให้คนไทยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมกับการวางนโยบาย โดยเสนอให้มีสภาอีกประเภทหนึ่ง ที่ทุกภาคส่วนของสังคมเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นสมาชิก “สมมุติว่านับแล้วว่าสังคมมี 100 ภาคส่วน เช่น ภาคธุรกิจ สังคม ครู แพทย์ ศิลปิน สื่อมวลชน กองทัพ ตำรวจ ฯลฯ ให้แต่ละภาคส่วนคัดเลือกตัวแทน สมัชชานโยบายแห่งชาติ เป็นตัวเชื่อมระหว่างกลไกใหม่ที่กล่าวมาข้างต้นเข้ากับกลไกเดิมคือรัฐสภา สมัชชานโยบายแห่งชาติ จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม”
สาเหตุที่ผมตั้งข้อสังเกตกับข้อเสนอข้อนี้ เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2543 ประเทศไทยเคยมีสิ่งที่เรียกว่า “สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเสนอนี้เลย มีตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพ วิชาการ และประชาสังคม ทุกภาคส่วนมาร่วมเป็นสมาชิกสภาด้วย ผมเองก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของวิศวกร
เข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ชุดที่ 1 ที่มีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานสภาฯ ที่ประกอบด้วยตัวแทน 99 คน ครบทุกภาคส่วนด้วย
ในช่วงแรกๆ หลักการและการจัดตั้ง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นี้ ดูเป็นความหวังมาก เพราะสมาชิกมีความหลากหลายมาก และเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในแต่ละประเด็นจริง ทำให้สามารถเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมอย่างหลากหลายและตรงจุด แบบล่างขึ้นบนอย่างแท้จริง แต่เวลาผ่านไปเริ่มเกิดช่องโหว่ในทางปฏิบัติ นำไปสู่ความเสื่อมถอยของสภาที่ปรึกษาฯ นี้
จากเดิมสมาชิกสภาฯ จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเบี้ยประชุมเพียงไม่เกินเดือนละ 8,000 บาทเท่านั้น แต่ต่อมาเมื่อเป็นที่รับทราบโดยทั่วกันมากขึ้นว่าสมาชิกสภาฯ มีสิทธิได้รับผลประโยชน์อื่นๆ เช่น สามารถขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้ และสามารถเบิกค่าเครื่องบินเดินทางมาประชุมใน กทม. ได้ทุกอาทิตย์ จึงเริ่มมีกลุ่มคนที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์เหล่านี้เริ่มหาทางซื้อขายตำแหน่งกันอย่างเปิดเผย บางคนถึงกับตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้เป็นเสียงลงคะแนนเลือกตัวแทนเข้ามาโหวตเลือกสมาชิกสภาฯได้ มีการทำบัญชีคุณสมบัติผู้สมัครอย่างไม่เหมาะสมไม่เป็นธรรม ทำให้มีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองยืดเยื้อกันยาวนานจนประกาศผลสมาชิกชุดใหม่ไม่ได้ จนต้องใช้สมาชิกชุดเดิมทำหน้าที่รักษาการกันนานเป็นปี
ในที่สุด ก็ถูก คสช. ออกประกาศยุบสภานี้ไป พร้อมกับสภาพัฒนาการเมือง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ทั้งๆ ที่หลักการพื้นฐานของสภาที่ปรึกษาฯ นี้ ดีมีประโยชน์ สามารถเป็นตัวเชื่อมระหว่างกลไกใหม่เข้ากับกลไกเดิมคือรัฐสภา เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม แต่เมื่อยังไม่สามารถก้าวข้ามหลักการมีตัวแทนของประชาชนมาได้ ก็คงหนีไม่พ้นปัญหาต่างๆ ของประชาธิปไตยทางอ้อมที่คุณหมอเรียกว่า “ล้าหลัง” ไปได้
ผมจึงกลับมาสนับสนุนข้อเสนอข้อแรกของคุณหมอ ที่ให้ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งทุกคนยังมีสิทธิ์ลงคะแนนความเห็นชอบในนโยบายสำคัญๆ ที่เสนออนุมัติกันในสภาได้ด้วย การทำประชามติในยุคดิจิทัลนี้ทำได้เร็วเสร็จได้ในทันที และมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก เหมือนกับที่ในหลายๆ ประเทศเริ่มมีการนำแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม (Participatory Budgeting)มาเริ่มใช้กันแล้ว
จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก ที่ผมได้รับทราบมาว่า ในเร็วๆ นี้จะมีโครงการต้นแบบการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วมโดยกลุ่มองค์กรภาคประชาชน ให้คนไทยได้ลองใช้งานกันจริง โดยทีม Punch Up , องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศ), Glow Story, Hand Social Enterprise , Good Society Thailandและ Social Integrity Architecture and MechanismDesign Lab ได้พัฒนาแพลตฟอร์มนี้ในรูปแบบเทคโนโลยีภาคประชาชน (Civic Tech) เพื่อเปิดเผยข้อมูลให้ทุกคนในฐานะผู้เสียภาษี ได้เข้าถึง เข้าใจ และเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบงบประมาณของกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มจากคำถามที่อาจจะคาใจหลายๆ คนว่า ตอนนี้กรุงเทพมหานครวางแผนในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร? ใช้งบประมาณเท่าไหร่? และในฐานะประชาชน เราจะมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างไรบ้าง? เพื่อนำการร่วมโหวตและความคิดเห็นนี้รวบรวมยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
โครงการนี้นับเป็นโครงการทดลองสร้างแพลตฟอร์ม “งบประมาณแบบมีส่วนร่วม” ให้กับจังหวัด/เมืองต่างๆ ในประเทศไทย โดยเริ่มจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเป็นต้นแบบ แล้วพัฒนาไปสู่เมืองอื่นๆ เพื่ออำนวยให้ทุกคนมามีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น เริ่มต้นจากการเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบงบประมาณ ผ่านการตรวจสอบและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเสนอโครงการกับงบประมาณในการพัฒนาเมือง
สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่าคุณหมอประเวศ ที่ผมเคารพและศรัทธา คงจะมีความคิดที่แยบยล ลึกซึ้งกว่านี้ ซึ่งไม่สามารถนำมาอธิบายได้หมดในบทความพิเศษสั้นๆ ผมจึงได้แต่สนับสนุนในหลักการและตั้งข้อสังเกตเบื้องต้น เพื่อชวนผู้อ่านมาร่วมอภิปรายถกเถียงกันต่อไป เพราะอีกหนึ่งความงดงามของประชาธิปไตยก็คือการเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิด เปิดฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ นำไปสู่ทางออกร่วมกันของสังคมครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี