การเมืองไทยจะเดินไปอย่างไร?
กิจกรรมการเมืองล่าสุด เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของม็อบสามนิ้ว
ครั้งนี้ ใช้วาทกรรมแบบมั่วๆ ตัดตอนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาปลุกปั่นว่า การปกครองในปัจจุบันเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปฏิรูปไม่ใช่การล้มล้าง และเรียกร้องให้ร่วมลงชื่อเพื่อยกเลิก ม.112
สงสัยว่า ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จริงๆ แกนนำคงไม่สามารถจะออกมาด่าในหลวง จาบจ้วงหยาบคาย สาดโคลนรุนแรงข้ามปี ซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ดอกกระมัง
พยายามเต็มที่แล้ว ปลุกระดมสุดขีด บิวท์กันสุดๆ
แต่เด็กมันดูออก ว่าใครยุส่งแต่ปาก ส่วนตัวเองนอนสบายในห้องแอร์ ไปเที่ยวเล่นต่างจังหวัด แถมถ่ายภาพเช็คอินเป็นหลักฐานจะได้ไม่ถูกดำเนินคดีฐานหนุนส่งม็อบก็มี
แกนนำที่ชักชวนมาม็อบ ก็ล้วนมีคดีติดตัวเกือบทั้งนั้น วางแผนเคลื่อนไปยังสถานที่เชิงสัญลักษณ์ดูต้องการยั่วยุให้มีความรุนแรง เพื่อปลุกกระแสให้เกิดเงื่อนไขในการยกระดับไปสู่การจลาจล ที่อาจนำไปสู่กรณีเป็นช่องทางให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในได้
มีชื่อกลุ่มสนับสนุนหลายชื่อ แต่ละกลุ่มมวลชนหลักสิบ ชื่อซ้ำไปซ้ำมา
1. เดิมวางแผนไว้ว่าจะจัดชุมนุมใหญ่ในช่วงปลายเดือน พ.ย.
2. นัดเร็วขึ้น เพื่อตอบโต้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อคำวินิจฉัยมีผลผูกพันทุกองค์กร กลัวว่าหลังจากนี้จะเคลื่อนไหวลำบากมาก เพราะการชูประเด็นเกี่ยวกับสถาบันย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
3. การชุมนุมในครั้งนี้ นำเอาภาพกิโยติน อนุสารีย์ประชาธิปไตย กรอบพระบรมฉายาลักษณ์ ฯลฯ นำมาใช้ส่งสัญญาณคุกคามโดยตรงถึงสถาบัน ยิ่งตอกย้ำเจตนาของการล้มล้าง ไม่ใช่ปฏิรูป
นอกจากนี้ ยังต้องการปลุกกระแสการอภิปรายในร่างแก้ไข รธน.ฉบับที่นำเสนอโดยกลุ่มของนายปิยบุตร ฯลฯ ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของสภาในสัปดาห์นี้
4. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ว่า
“..ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำชี้แจง พยานหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งบันทึกเสียงการปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อภิปรายในที่สาธารณะหลายครั้งหลายสถานที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.2563 เรียกร้องให้ดำเนินการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2563 ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อภิปรายเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยข้อเรียกร้องรวม 10 ประการ
พิจารณาแล้วเห็นว่า พระมหากษัตริย์กับชาติไทยดำรงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และจะต้องดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยไว้ ปวงชนชาวไทยจึงถวายความเคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอื่นที่เห็นต่างด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้บุคคลอื่นกระทำตาม
ยิ่งกว่านั้น การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย แม้การปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2563 ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มบุคคล กลุ่มต่างๆ โดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุมวิธีการชุมนุม เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์เป็นแบบไม่มีแกนนำที่ชัดเจน แต่มีรูปแบบการกระทำอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน การเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกันที่มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก
ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์กระทำซ้ำและกระทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่มีลักษณะของการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติอันเป็นการทำลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ นำไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยในที่สุดทั้งเป็นการกระทำที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูดการเขียน หรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้อ่อนแอลงย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง...”
5. คำวินิจฉัยข้างต้น เสมือนหนึ่งถลกผ้าคลุมล่องหนของม็อบ
กล่าวคือ ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้วอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เสมือนเป็นเสื้อคลุมล่องหนที่ทำให้ช่วยรอดพ้นการจัดการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
แต่เมื่อคำวินิจฉัยชี้ชัดว่าการเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงนั้น มิใช่การใช้สิทธิเสรีภาพโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง
ก็เท่ากับว่า ต่อไปนี้ การเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันกษัตริย์เช่นนั้น จะไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
6. การเมืองหลังจากนี้ไป คาดว่า
แกนนำจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย หลายคดีทยอยมีคำพิพากษา
ผู้สนับสนุน สั่งการ บงการ ท่อน้ำเลี้ยง หากยังสนับสนุนต่อก็จะถูกดำเนินคดีอาญา ยึดทรัพย์ เด็ดขาด
พรรคการเมืองพยายามประคองตัวเอง เดินไปสู่การเลือกตั้ง
ความพยายามแก้รัฐธรรมนูญ ล้มศาลรัฐธรรมนูญ ล้มองค์กรอิสระ ล้มแผนยุทธศาสตร์ชาติ ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบรัฐบาลยังคงมีอยู่ และจะต้องหันไปตรวจสอบรัฐบาลว่าด้วยเรื่องทุจริตโกงกิน ซึ่งหากมีหลักฐานชัดเจน รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ นิ่งเฉยไม่ได้ อยู่ไม่ได้
ปีหน้า ผลงานหลายๆ เรื่องจะปรากฏรูปธรรม รวมถึงโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ใช้เงินกู้โควิด แต่ที่โดดเด่นจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ ของประเทศ ทั้งที่รัฐและรัฐวิสาหกิจลงทุนเอง และผ่านการร่วมลงทุนกับเอกชน ถนนหนทาง มอเตอร์เวย์ ระบบราง สนามบิน การค้าระหว่างประเทศกลับมา การท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้น
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ได้เดินหน้าตามที่ ครม.ลุงตู่มีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติที่ได้คำนึงถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของบริบทในระดับประเทศและระดับโลกในระยะยาวอันเป็นผลสืบเนื่องจากโควิด -19
หมุดหมายการพัฒนา 13 ข้อจะถูกนำมาใช้เดินต่อไป ได้แก่
1.ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2.ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน 3.ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน 4.ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 5.ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค 6.ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน 7.ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 8.ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน 9.ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม 10.ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ 11.ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 12.ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และ 13. ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน
7. บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ไม่มีใครปล่อยให้ล่มสลายอย่างแน่นอน
“...ทุกๆ เช้าเราดูธงไทย ใจจงปรีดาว่าไทยอยู่มา ด้วยความผาสุกถาวรสดใส
บัดนี้ไทยเจริญวิสุทธิ์ผุดผ่อง พี่น้องจงแซ่ซ้องชาติไทย
รักษาไว้ให้มั่นคง เทอญธงไตรรงค์ให้เด่นไกล
ชาติเชื้อเรายิ่งใหญ่ ชาติไทยบ้านเกิดเมืองนอน” - (เพลงบ้านเกิดเมืองนอน)
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี