“วรวุฒิ อุ่นใจ” รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“การเมืองที่หว่านเมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดชังลงไปในใจคน มีแต่จะสร้างความบาดหมางเกลียดชังแบ่งแยกให้คนในชาติ มาช่วยกันสร้างการเมืองแห่งความหวังกันดีกว่า ขายนโยบาย สิ่งที่พวกคุณจะทำเพื่อประเทศชาติดีกว่าให้ร้ายโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้แฟนคลับเกลียดกลัวอีกฝั่งเราต้องอยู่กันด้วยความหวัง ประเทศจึงจะมีโอกาส”
ผมเห็นด้วยกับทุกถ้อยคำ
แต่ปัญหามีอยู่ว่า สังคมได้รับการ “ชี้นำ” ให้ “เลือกอนาคต” จากนโยบาย จากฝีมือคนทำงาน ก่อนการเลือก “ขั้วข้าง” และ “พวกพ้อง” แล้วหรือยัง
มาดูพรรคใหญ่ ที่กุมอำนาจรัฐ ได้เปรียบในทางกติกา และกุมกระแสสังคมผ่านความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กันหน่อยครับ
1) วันที่ 15 พ.ย. นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรค พปชร. มีความพร้อมในการเดินหน้าเพื่อเตรียมการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งพรรคได้มีการประชุม สส. เมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนการทำงานต่อ ในรูปแบบของการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว ที่จะเป็นยุทธศาสตร์ในการวางบทบาทการทำงานให้ สส.แต่ละคนได้อย่างเหมาะสม พร้อมเปิดโอกาส สส.หน้าใหม่กว่า 70% ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในพรรคได้โชว์ฝีมือ และศักยภาพในการทำงานได้ตรงตามความสามารถที่มีอยู่บนพื้นที่ของการแก้ปัญหา โดย พปชร. มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อลดความยากจนให้กับประชาชนในระยะยาว รวมทั้งการลงพื้นที่รับฟังปัญหาเพื่อต่อยอดแนวทางที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมกับนโยบายของพรรค
นางนฤมลกล่าวว่า พรรคยังมีแนวทางในการดำเนินการในเรื่องทำนโยบายสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หากได้รับเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง ซึ่งได้มีการวางแนวทางการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการของประชาชนด้วยเพียงบัตรประชาชนใบเดียว ที่มีข้อมูลอายุ อาชีพการศึกษา พื้นฐานความเป็นอยู่ เพื่อเป็นข้อมูลวิเคราะห์ความช่วยเหลือว่าควรจะได้รับสวัสดิการอะไร หรือที่เรียกได้ว่าเป็นถังข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กดาต้า เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการเข้าถึงของประชาชน ที่จะทำให้การทำงานสานต่อได้อย่างรวดเร็วในการดูแลประชาชนอย่างเหมาะสมและเป็นระบบ ซึ่งแนวทางจะดูแลนับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน แต่ไม่ใช่เพียงแค่การแจกเงินเพียงอย่างเดียว
นางนฤมลกล่าวว่า นโยบายนี้นับเป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ มีความพร้อมในการผลักดันให้เกิดความสำเร็จได้ไม่ยาก หากการเลือกตั้งครั้งหน้าได้เป็นแกนนำรัฐบาล สิ่งแรกที่จะทำคือการเปลี่ยนและรื้อระบบใหม่ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่กระจัดกระจายไปอยู่แต่ละกระทรวงที่ส่งผลให้การเข้าช่วยเหลือเป็นไปอย่างล่าช้าเพราะมีขั้นตอนหลายอย่าง รวมถึงข้อมูลประชาชนที่มีความซ้ำซ้อน ก็จะต้องนำมาไว้รวมเป็นจุดเดียวกันเพื่อในการดูแลและเข้าถึงให้ครอบคลุมลดการตกหล่น ซึ่งถือเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม นางนฤมล กล่าวอีกว่า แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการสนับสนุนจากประชาชนให้เกิดรัฐบาลที่มีความพร้อมในการผลักดัน พรรคพลังประชารัฐยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้คือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนที่เป็นแรงพลังให้พรรค ต่อสู้เคียงข้างไปพร้อมกับประชาชนที่ให้ความไว้วางใจในการเลือกพรรคพลังประชารัฐกลับมาอีกครั้ง
2) เป็นเรื่อง “น่ายินดี” ที่พรรคพลังประชารัฐจะเน้นการขับเคลื่อน “นโยบาย” แต่ผมก็มีคำถามมากมายที่อยากให้นางนฤมลหรือใครก็ได้ในพรรค ตอบให้กระจ่าง คือ
1.ที่ผ่านมา มีนโยบายใดของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหาเสียงไว้ ได้รับการสนับสนุน และนำไปขับเคลื่อน ผ่านรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ โดยพรรคพลังประชารัฐ บ้างครับ
2.คนที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกฯ มีความเข้าใจ และใส่ใจ ให้ความสำคัญต่อการสร้าง “พรรคพลังประชารัฐ”ให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีผลงาน หรือให้เป็นแค่“พลทหาร” คอย “ยกมือ” ให้ ในสภา เป็นหลัก
3.รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ สร้าง“ผลงาน” ใด ให้ประชาชนคนไทยอยากให้เขาเหล่านั้น กลับมาเป็นรัฐมนตรีต่อ จนต้องเทคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐครับ
4.ผลงานใดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ควรได้รับการสานต่อจนประชาชนคนไทยต้องเทคะแนนให้แก่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อที่พรรคพลังประชารัฐ จะได้ไปยกมือเลือกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อครับ
5.มีหลักประกันใดว่า พรรคพลังประชารัฐจะเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อ และจะทำงานกันแบบสมัครสมานกลมเกลียวก่อนเล่นการเมือง อะไรจะเป็นความมั่นใจว่า ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพี่น้อง 3 ป.จะมุ่งรักษาบ้านเมือง ก่อนทำสงครามกลางเมืองทั้งภายในและภายนอกก่อนครับ
6.ตัวผู้แถลง คือ นางนฤมล ได้รับการยอมรับสนับสนุนจากหัวหน้าพรรค คนในพรรค และนายกรัฐมนตรีมากเพียงใดครับ เราจะเชื่อมั่น เชื่อถือ และมีความหวังกับถ้อยแถลงนี้ได้มากเพียงใดครับ
7.พรรคพลังประชารัฐ สามารถดำรงอยู่ได้เอง ด้วยพลังความรู้ ความสามารถ ความสามัคคีกลมเกลียว หรือยังต้องพึ่งพรีเซ็นเตอร์ คือ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ครับ
8.ที่บอกว่า “พร้อมเปิดโอกาส สส.หน้าใหม่กว่า 70% ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในพรรคได้โชว์ฝีมือ และศักยภาพในการทำงานได้ตรงตามความสามารถที่มีอยู่บนพื้นที่ของการแก้ปัญหา” ที่ผ่านมา มี สส.หน้าใหม่กี่คนในพรรค ที่ได้รับโอกาสนั้น พวกเขาได้ทำอะไร และ สส.หน้าเก่าในก๊กก๊วนต่างๆ มีท่าทีอย่างไรครับ
9.ที่บอกว่า “การวางแนวทางการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการของประชาชนด้วยเพียงบัตรประชาชนใบเดียว ที่มีข้อมูลอายุ อาชีพการศึกษา พื้นฐานความเป็นอยู่ เพื่อเป็นข้อมูลวิเคราะห์ความช่วยเหลือว่าควรจะได้รับสวัสดิการอะไร หรือที่เรียกได้ว่าเป็นถังข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กดาต้า เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการเข้าถึงของประชาชน ที่จะทำให้การทำงานสานต่อได้อย่างรวดเร็วในการดูแลประชาชนอย่างเหมาะสมและเป็นระบบ” ทำไมไม่ทำเสียในสมัยนี้ล่ะครับ ปล่อยเวลาล่วงเลยมากี่ปีแล้วครับ เวลาที่เหลือทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์สักหน่อยไหมครับ เนื่องจากเป็นทั้งแนวคิดและแนวทางที่ดีมากๆ
10.ที่ย้ำคำว่า “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ซึ่งเป็นแนวคิดของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แค่เริ่มต้นบันไดขั้นแรกคือ นโยบาย “มารดาประชารัฐ” ที่หาเสียงเกทับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ไว้ ได้ทำไหมครับ จะผัดผ่อนไปทำสมัยหน้าด้วยเหตุผลอะไรครับ แล้วสมัยหน้าจะได้ทำจริงๆ ใช่ไหมครับ ถ้าทำ จะทำแบบเดิมที่หาเสียงไว้ หรือจะปรับปรุงใหม่ครับ
ผมถามทั้ง 10 คำถามนี้ เพราะผมไม่อาจ “ฝากอนาคต” หรือ “ฝากประเทศ” ไว้กับคณะบุคคลที่“แยกกันอยู่” มิได้ประสานใจ ประสานความรู้ ประสานคนทำงานเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ไขปัญหาของ “ประชาชน/ประเทศชาติ” อย่างมุ่งมั่น แต่แน่วแน่มาก ในการแก้ไข “ปัญหาการเมือง” ของพวกคุณเองมาโดยตลอด
พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐ เหมือนผัวเมียที่ “แต่งงานกำมะลอ” มิได้ร่วมหอลงโรง ผัวไปทาง เมียไปทาง ไม่เคยให้เกียรติเมียได้มีหน้ามีตาในสังคม ไม่เคยส่งเสริมให้ได้ทำงาน แสดงศักยภาพ และตัวเองก็มิได้มีศักยภาพ พอที่จะเล่นบท “วีรบุรุษ” วัน แมน โชว์
ถามว่าปัญหาในวันนี้และวันหน้าของคนไทยคืออะไร คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง รายได้ การงาน การศึกษาที่จะทำให้คนเข้าถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันกับพลเมืองโลก
ใครคือ “ทีม” แห่งความหวังในเรื่องนี้ของพรรคพลังประชารัฐ
และโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ นี่หรือ?
3) วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 นายไพศาลพืชมงคล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค เรื่อง “ชะตากรรมสามลุงในสามก๊ก!!!!” ความว่า
สามพี่น้องร่วมสาบานแห่งสวนท้อเป็นแบบอย่างคุณธรรมน้ำมิตรของเพื่อนร่วมน้ำสาบานที่ยิ่งกว่าเป็นเหมือนพี่น้อง แต่เมื่อมีอำนาจแล้วชะตากรรมแต่ละคนก็มีอันเป็นไป
1. เตียวหุย น้องเล็ก มุทะลุดุดัน ชอบชี้หน้าด่าลูกน้องและผู้คน มัวเมาในสุราและอารมณ์ ในวาระสุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือลูกน้องตัดหัวเสียโดยไม่ทันรู้ตัว
2. กวนอู น้องรอง ที่ติดอยู่ในศักดิ์ศรีและฐานะเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ล่วงละเมิดคาถา 16 คำของกุนซือ ที่ว่า “เหนือรบโจ ใต้ร่วมซุน” กลับกลายเป็นรบทั้งโจ รบทั้งซุนในที่สุดก็ปราชัย ถูกตัดหัว แยกหัวไปให้โจโฉ ส่วนตัวฝังอยู่ที่แดนกังตั๋ง
3. เล่าปี่ พี่ใหญ่มีใจโอบอ้อมอารีแก่ราษฎรทั้งปวง ยอมเจ็บยอมกลืนเลือดในทุกสถานการณ์เพื่อบรรลุปณิธานกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น แต่ในที่สุดก็เผลอหลงในอำนาจและกำลังทหาร 83 หมื่น ฝืนคำกุนซือยกไปรบกังตั๋ง แทนที่จะปราบอริราชศัตรูเสียก่อนตามยุทธศาสตร์สามก๊กที่วางไว้ตั้งแต่ครั้งเยือนโงลังกั๋ง ก็ต้องปราชัยยับเยินแก่ลกซุนขุนพลน้อยหน้าใหม่ จนต้องตรอมใจตายที่เมืองเป๊กเต้ และยุทธศาสตร์สามก๊กก็ต้องล้มครืนลง
ทุกคนเกิดมาย่อมต้องตาย แต่อาการตายและคุณค่าของการตายไม่เหมือนกันดังนี้
แต่ที่สุดแล้วก็ตายกันหมดทุกคน
ไฉนเล่ายามยังอยู่จึงไม่คิดสร้างวีรกรรมไว้ในแผ่นดินประดับเกียรติยศและวงศ์ตระกูล ให้เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้คนในวันข้างหน้าได้สดุดี!!!
น่าอนาถนัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี