“ทุกครั้งที่มีโรคระบาดหนักทั่วโลก หลายประเทศที่ไม่มีอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ครบในการผลิตวัคซีนตัวเอง ต่อให้มีสตางค์ก็ไม่มีให้ซื้อ เราเห็นตัวอย่างเกาหลี (ใต้) ก็ไม่มีให้ซื้อ ญี่ปุ่นก็ไม่มีให้ซื้อ ก็ต้องได้วัคซีนใกล้ๆ กับเรา เร็วกว่าเราหน่อย เพราะสตางค์เยอะกว่า จ่ายเยอะกว่า เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่อง Security (ความมั่นคง) ทั้ง Social (สังคม) Economic (เศรษฐกิจ) Health (สุขภาพ) เป็นความมั่นคงที่ต้องมี”
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีนคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานแถลงข่าว “ความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19 ของจุฬาฯ นวัตกรรมของไทย ความหวังของโลก” เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทีมงานของ ศ.นพ.เกียรติทำการวิจัยและพัฒนา “ChulaCov19” วัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA แบบเดียวกับวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา
เบื้องต้นจากการทดลองในห้องปฏิบัติการหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นต้น ใช้วัคซีนที่ปริมาณ 10 20 และ 50 ไมโครกรัม แล้วเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ChulaCov19 กับการติดเชื้อตามธรรมชาติที่เป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมจากเมืองอู่ฮั่น และจากวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกัน
ผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ เพราะระดับภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ChulaCov19 สูงกว่าจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ และมีระดับภูมิคุ้มกันไม่ด้อยไปกว่าวัคซีนไฟเซอร์ฯ รวมถึงการทดลองกับไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ 4 ชนิด คืออัลฟ่า เบต้า แกมม่าและเดลต้า ก็ให้ผลการทดลองแบบเดียวกัน ซึ่งขณะนี้โครงการวัคซีน ChulaCov19 ผ่านการทดลองระยะที่ 2 ในมนุษย์มาแล้ว และกำลังเตรียมการทดลองในระยะที่ 3
โดยหากเป็นช่วงที่ยังไม่มีวัคซีนของโรคนั้นๆออกมา เกณฑ์สากลจะใช้อาสาสมัครประมาณ 3 หมื่นคนและใช้วิธีเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ฉีดวัคซีนชนิดที่ทำการทดลองกับการฉีดน้ำเกลือเป็นยาหลอก แต่ปัจจุบันมีวัคซีนโควิด-19 ขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้แล้วหลายชนิด หน่วยงานกำกับดูแลอาหารและยาของแต่ละประเทศ จึงตกลงกันว่าให้ใช้วิธีเปรียบเทียบกับวัคซีนที่มีอยู่แล้ว และใช้อาสาสมัครเพียงไม่กี่พันคนได้
ส่วนสาเหตุที่กำหนดอาสาสมัครไว้ที่ประมาณ 3 หมื่นคนเนื่องจากหากมีผลข้างเคียง ที่ระดับ 1 ต่อหมื่นคนน่าจะพอมองเห็นได้ แต่ถ้าผลข้างเคียงรุนแรงที่น่าจะมองเห็นได้ก็ประมาณ 3 หมื่นคนขึ้นไป และต้องติดตามต่อไปอีกว่าผู้ที่ฉีดไปแล้วหากติดเชื้อจะมีโอกาสป่วยหนักระดับต้องเข้าโรงพยาบาล หรือถึงขั้นเสียชีวิตกี่ราย อนึ่ง สำหรับวัคซีนที่จะไปขอขึ้นทะเบียนใช้งานฉุกเฉินกับองค์การอนามัยโลก (WHO) จะต้องผ่านการทดลองกับคน 3 เชื้อชาติ ซึ่งก็ต้องไปตีความกันอีก เช่น นับเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้หรือไม่
หรือต้องเป็นทวีปเอเชีย ลาตินอเมริกา แอฟริกา และคอเคเชียน (ฝรั่งผิวขาว) โดยจะได้หารือกับมูลนิธิแห่งหนึ่งที่สนใจประเด็นการทำให้วัคซีนโควิด-19 เข้าถึงคนยากจน ซึ่งอาจเป็นมูลนิธิให้ทุน หรือรัฐบาลให้ทุนเพื่อไปทำวิจัยที่อเมริกาใต้ แอฟริกา รวมถึงทาบทามเพื่อนบ้านอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนในไทยและในอาเซียนให้ได้ก่อน ขั้นตอนหลังจากนั้นก็จะง่ายขึ้น ทั้งนี้หากไม่มีปัญหาใดๆ คาดว่าจะยื่นขอขึ้นทะเบียนใช้งานฉุกเฉินในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2565
ถึงกระนั้น ศ.นพ.เกียรติ ก็ยอมรับว่า “อาจต้องเผื่อใจไว้บ้าง” เปรียบเหมือนนักกีฬาที่ฝึกซ้อมมาดีและอาจจะไปสะดุดในตอนท้ายอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ บางครั้งการทดลองวัคซีนก็ไม่สามารถผ่านขั้นตอนการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 3 ไปได้ อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่าการพัฒนาวัคซีนของทีมงานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นเดินตามมาตรฐานสากล ตั้งเป้าหมายสูงสุดคือต้องสามารถขึ้นทะเบียนในประเทศอื่นได้ และอยู่ในบัญชีรายชื่อวัคซีนที่องค์การอนามัยโลกรับรองด้วย ภายหลังจากการขึ้นทะเบียนในไทยได้แล้ว
“จริงๆ ผมอยากให้วิกฤตเป็นโอกาสที่คนไทยคิดข้ามไปอีก ว่าประเทศไทยเราจะอาศัยเศรษฐกิจของเราโดยพึ่งเพียงแค่การท่องเที่ยว ภาคบริการ การส่งออก การส่งออกนี่สำคัญในทุกเทคโนโลยีอยู่แล้ว หรือว่าเราจะต้องเพิ่มว่าภายในอีก 10 ปีข้างหน้า จุดยืนประเทศว่าเราจะต้องมี Deep Tech Base Economy (เศรษฐกิจเทคโนโลยีขั้นสูง) ด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสายทางการแพทย์ ฉะนั้นผมคิดว่าเราต้องมองไกล อย่าเป็นแบบพลุ คำถามที่ว่าควรจะมีวัคซีนโควิดประเทศไหม? ควรบอกว่าประเทศไทยต้องมีความสามารถในการคิดค้น ผลิต พัฒนาและจำหน่ายวัคซีนกับโลกได้ไหม? เวลาวิกฤตมาเราจะพึ่งตัวเอง และให้โลกพึ่งเราได้หรือไม่?” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว
งานแถลงข่าวครั้งนี้ยังมี ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และซีอีโอ บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ผู้พัฒนา “จุฬาฯ-ใบยา” วัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยี Protein Subunit มาบอกเล่าความคืบหน้าของวัคซีนใบยาด้วย ว่า วัคซีนใบยาเริ่มทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เมื่อเดือน ก.ย. 2564 ใช้อาสาสมัคร 96 คน อายุระหว่าง 18-60 ปี เบื้องต้นยังอยู่ระหว่างติดตามผลทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย
รวมถึงทีมวิจัยกำลังรับสมัครกลุ่มตัวอย่างอายุมากกว่า 60 ปี แต่ไม่เกิน 75 ปี แต่ยอมรับว่าปัจจุบันหาอาสาสมัครยากมาก เพราะคนในกรุงเทพฯ ฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปมากแล้ว โดยหวังว่าจะเริ่มทดลองในกลุ่มผู้สูงอายุได้ภายในเดือน ธ.ค. 2564 นอกจากนี้ยังมีวัคซีนรุ่น 2 ที่ผลิตออกมาแล้ว และเตรียมทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 คาดว่าจะเริ่มได้ในเดือน ม.ค. 2565 จากนั้นในเดือน ก.พ. 2565 ทีมวิจัยจะเลือกวัคซีนที่ดีที่สุดไปใช้ทดลองในมนุษย์ระยะที่ 2 ต่อไป และหวังว่าจะสามารถขอขึ้นทะเบียนได้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2565
“ทีมใบยาในขณะที่กำลังทดสอบวัคซีนโควิดในมนุษย์ เราได้เรียนรู้เยอะมาก ว่าจริงๆ กระบวนการทำการวิจัยและพัฒนา มันไม่มีเขียนอยู่ใน Textbook (ตำรา) เล่มไหน แล้วก็ไม่มีใครมานั่งบอกเราว่าให้เดินเลี้ยวซ้าย 3 ก้าว เลี้ยวขวา 5 ก้าว เดินตรงไปอีกนิดแล้ววันหนึ่งเราจะมีวัคซีนไปขึ้นทะเบียนได้ ฉะนั้นวันนี้เราคิดว่าเราทราบแล้ว ประเทศไทยทราบและเรามีองค์ความรู้กันแล้วในการทำวิจัยและพัฒนายาของเราเองได้” ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี