จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่พบว่าผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะแสดงความรับผิดชอบด้วยท่าทีอันชัดแจ้ง ชัดเจน และเปิดเผยประการใดต่อสาธารณชน ในประเด็นเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นภายในจุฬาฯ อันเนื่องมาจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกฉบับหนึ่ง ชื่อเรื่อง การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ทำโดย ณัฐพล ใจจริง แล้วถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าวิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าวมีข้อความอันเป็นเท็จซึ่งถูกจงใจระบุข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์ฉบับนั้น จนเป็นเหตุให้ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ทายาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ต้องนำเรื่องไปฟ้องร้องขอความเป็นธรรมจากศาล
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่มากในวงวิชาการระดับประเทศ แต่ทว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้กลับดูเสมือนถูกจงใจทำให้เงียบหายไป เพราะผู้บริหารของจุฬาฯ ไม่ได้แสดงความใส่ใจ และไม่นำพา ราวกับว่าไม่ต้องการให้สาธารณชนได้รับทราบความจริงในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากผู้บริหารจุฬาฯ จงใจนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ แม้จะถูกสังคมกดดันอย่างหนักให้เปิดเผยความจริง แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าผู้บริหารจุฬาฯ จะกระตือรือร้นทำความจริงเรื่องนี้ให้กระจ่าง
ฝ่ายโจทก์ยืนยันว่าข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์อันเกี่ยวเนื่องพาดพิงไปถึงกรมพระยาชัยนาทนเรนทร เกิดขึ้นจากความจงใจ มิได้เกิดขึ้นจากการขาดเจตนา เพราะเมื่อสืบค้นลึกลงไปแล้วจะพบได้ว่าผู้ทำวิทยานิพนธ์เต็มแต่งข้อความเข้าไปเอง แถมยังอ้างว่ามีข้อความจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เป็นตัวอ้างอิง แต่หนังสือพิมพ์ดังกล่าวก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีการนำเสนอเรื่องเท็จในหนังสือพิมพ์ดังปรากฏในวิทยานิพนธ์แต่ประการใด
สาธารณชนตั้งคำถามว่าผู้บริหารจุฬาฯ ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้หรือไม่ เพราะเป็นวิทยานิพนธ์ของจุฬาฯ ที่ทำในนามสถาบันการศึกษา และผู้ให้ปริญญาบัตรก็คือจุฬาฯ ประเด็นนี้คือสิ่งที่สาธารณชนยังถกเถียงกันอยู่จนปัจจุบันนี้
แต่สิ่งที่ตลกยิ่งกว่าคือ ผู้ทำวิทยานิพนธ์อ้างว่าทราบภายหลังว่ามีข้อผิดพลาดในการกล่าวถึงกรมพระยาชัยนาท แล้วตนเองพยายามขอแก้ไข แต่บัณฑิตวิทยาลัยของจุฬาฯ ไม่อนุญาตให้แก้ไข เนื่องจากผ่านขั้นตอนการแก้ไขไปแล้ว แต่ผู้ทำวิทยานิพนธ์ก็อ้างด้วยว่า แม้จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อหัวข้อหลักในวิทยานิพนธ์ ซึ่งข้ออ้างนี้ทำให้ผู้ที่เป็นปัญญาชนฟังแล้วสังเวชใจมาก ส่วน กุลลดา เกษบุญชู มี้ดอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์อ้างว่าตนเองถูกละเมิด และลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการ แถมยังอ้างว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้การยอมรับว่าวิทยานิพนธ์ดังกล่าวมีความดีเลิศทางวิชาการ ซึ่งก็ต้องบอกอีกว่าคนที่มีสติปัญญาต่างตั้งคำถามกลับว่า วิทยานิพนธ์ที่ผู้ทำจงใจสร้างเรื่องเท็จขึ้นมา ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิทยานิพนธ์ที่มีความดีเลิศทางวิชาการกระนั้นหรือ หรือว่าปัจจุบันนี้คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยไทยยอมรับว่าสามารถใส่เรื่องเท็จในวิทยานิพนธ์ได้โดยไม่มีความผิดใดๆ และยอมรับว่าการสร้างข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์คือการมีเสรีภาพทางวิชาการ ขณะเดียวกัน ก็มีคำถามอีกว่าที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ต้องรับผิดชอบหรือไม่ ถ้าหากวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นเกิดขึ้นด้วยความจงใจสร้างเรื่องเท็จขึ้นมา
ขอย้ำว่าเสรีภาพทางวิชาการไม่ใช่เสรีภาพในการสร้างเรื่องเท็จ เสรีภาพทางวิชาการต้องยืนอยู่บนความจริงที่พิสูจน์และตรวจสอบได้ตลอดเวลา ดังนั้นการจงใจอ้างเรื่องเท็จ หรือสร้างเรื่องเท็จในทางวิชาการจึงไม่ใช่เสรีภาพทางวิชาการ แต่มันคือการทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาของวิชาการ เพราะฉะนั้นจงเลิกอ้างว่าถูกลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการ แต่จงยอมรับเถิดว่า การสร้างเรื่องเท็จในวิทยานิพนธ์ คือการทำลายล้างวงวิชาการให้ปราศจากความน่าเชื่อถือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี