ตะวันตกใช้สงครามตัวแทนให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ใช้ความรุนแรงกักขฬะหยาบช้าก่อจลาจลใช้กำลังให้เกิดความวุ่นวายที่มีจุดมุ่งหมายให้มหาอำนาจตะวันตกได้ใช้เป็นข้ออ้างเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในและสุดท้ายกลายเป็นยึดครองเหมือนในอัฟกานิสถาน
แต่การตอบสนองอย่างมีอารยะของตะวันออกที่บังคับใช้กฎหมายดังที่ฝรั่งเรียกว่า Rule Of Law แก้เล่ห์กลแผนการชั่วร้ายทำให้ฝ่ายอธรรมแพ้พ่ายต่อฝ่ายธรรมะไปโดยปริยาย
ผู้อยู่เบื้องหลังหรือผู้บงการที่รับงานมาสงครามตัวแทนของตะวันตกก็จึงได้ออกมาโวยเพราะได้สำเหนียกว่ามหันตภัยอันเลวร้ายใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ ในสงครามตัวแทนยุคใหม่ผู้ที่รับเงินรับงานมาจากตะวันตกไม่ว่าจะเป็นเอ็นจีโอ นักวิชาการ และนักการเมืองในประเทศไทยในฮ่องกง และสภาพพม่าสุดท้ายไม่วายต้องได้พบชะตากรรมเดียวกัน
ในฮ่องกงนักวิชาการในสถานศึกษาล้างสมองเยาวชนรุ่นใหม่อายุแค่ 17 ปี อย่าง “นายโจชัว หว่อง”ใช้เด็กเป็นตัวเปิดหน้านำประชาชนออกมาประท้วง อ้างว่าจีนแผ่นดินใหญ่ครอบงำการปกครองฮ่องกงไม่เป็นตามสัญญาที่ว่าจะให้ฮ่องกงปกครองตนเองอย่างเสรีแบบประเทศเดียวสองระบบไปอีก 50 ปี หลังจากรับมอบเกาะฮ่องกงคืนจากอังกฤษในปี 2540
แต่นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ นายทุนใหญ่ สื่อมวลชนที่คุ้นเคยกับการอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมาตลอดชีวิตทนไม่ได้ล้างสมองเยาวชนรุ่นใหม่ซึ่งไม่ศึกษารากเหง้าของชาติ ให้ออกมาก่อจลาจลสร้างความวุ่นวายเพื่อเปิดทางให้ตะวันตกเข้ามาแทรกแซง
ปี 2557 นายโจชัว หว่อง สร้างความตะลึงให้ชาวโลกเมื่อพบว่านักเรียนมัธยมวัย 17 ปี นำประชาชนกว่า200,000 คน ลงถนนประท้วงสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงจีนแผ่นดินใหญ่ได้
และปีต่อๆ มากลุ่มเอ็นจีโอ นักวิชาการ นายทุนใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาในท่ามกลางการจับตามองของจีนแผ่นดินใหญ่อย่างใจเย็นและสุขุมรอบคอบ
ปักกิ่งไม่ปราบปราม ไม่โวยวาย เมื่อนายโจชัว หว่องถูกส่งไปล้างสมองในสหรัฐ 7 เดือนกว่า และกลับมาพร้อมกับปัจจัยและอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ฮ่องกงเป็นประชาธิปไตยไม่อยู่ใต้อิทธิพลจีน
เอ็นจีโอที่รับเงินรับงานจากตะวันตกสหภาพแรงงาน สื่อมวลชนที่มีนายทุนใหญ่ซึ่งรับแผนการจากตะวันตกเริ่มเปิดหน้าท้าทาย สมคบกันปลุกระดมทั้งใต้ดิน บนดินเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยการประท้วงรุนแรง เผาทำลายก่อจลาจลวุ่นวายอยู่สามปีจนเกาะฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่ ศูนย์กลางการซื้อขายแห่งหนึ่งของโลกแทบล่มสลาย
เดือน มิ.ย. 2563 ปักกิ่งออก ก.ม. ความมั่นคงภายในและ 2 เดือนต่อมา ก็มีการกวาดล้างใหญ่ ตำรวจฮ่องกงจับกุมตัว 7 ผู้ต้องหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ในวันที่ 10 ส.ค. 2563 หนึ่งในนั้นคือ นายจิมมี ไล มหาเศรษฐีเจ้าพ่อสื่อชาวฮ่องกงเจ้าของ นสพ.แอปเปิล เดลี ที่เจอข้อหาหนักคือ สมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ เป็นภัยคุกคามความมั่นคง
เมื่อเศรษฐีเจ้าของสื่อถือว่าเป็นตัวบงการรายใหญ่คนหนึ่งกับพวกอีกหกคนถูกจับและคุมขังระหว่างดำเนินคดี ขบวนการต่อต้านปักกิ่ง โปรอเมริกาและตะวันตกก็เริ่มเรรวนกลัวติดคุกติดตะราง
แกนนำการชุมนุม 12 คน ทั้งหญิงชายเช่าเรือหนีไปไต้หวันแต่ถูกจับได้ในทะเล ผู้สมรู้ร่วมคิด 4 คน ที่ขึ้นเรือไม่ทันหันไปพึ่งอเมริกาด้วยความหวังว่าลูกพี่ใหญ่จะช่วยให้รอดคุกรอดตะรางได้ พากันมุ่งหน้าไปสถานกงสุลอเมริกาในฮ่องกง แต่ถูกปิดประตูใส่หน้าและสะกิดให้ตำรวจจับไปดำเนินคดี
เมื่อหนีก็ไม่ได้ พึ่งอเมริกาก็ไม่ได้ ขบวนการทำลายฮ่องกงก็ระส่ำระสาย หลายคนหนีไปอังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เยอรมนี ฯลฯ ที่หนีไม่ทันก็ทยอยถูกจับขึ้นศาลทยอยเข้าคุกทีละสี่ห้าราย
ส่วนเอ็นจีโอ แอมเนสตี้ฯ สมาคม สหภาพแรงงานต่างๆทยอยกันปิดตัวลง แอปเปิล เดลี ศูนย์กลางข่าวปั่นกระแส ข่าวปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายเมื่อบรรณาธิการบริหารและซีอีโอถูกจับขังคุกระหว่างดำเนินคดีก็ปิดตายไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่ายตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
ต่อมาภาคประชาคมสังคมองค์กรใหญ่ที่สุดในฮ่องกง ซึ่งเคยรณรงค์ให้คนฮ่องกงออกมาชุมนุมได้ถึงสองล้านคนก็ปิดตัวเองลงเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
#กลุ่มแนวร่วมสิทธิมนุษยชนพลเมือง (ซีเอชอาร์เอฟ) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2545 ซึ่งมีสมาชิกเป็นแนวร่วม 45 องค์กร อ้างถึงเหตุผลของการยุบกลุ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม ว่าถูกเจ้าหน้าที่คุกคามและอาจถูกดำเนินคดี ก่อนยุบไปแถลงด้วยว่า เงินบริจาคที่เหลือ 1.6 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง จะถูกบริจาคต่อไปให้แก่กลุ่มต่างๆ ที่เหมาะสม
ฮ่องกงโมเดลที่คนรุ่นใหม่ในเมืองไทยคลั่งไคล้โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคการเมืองถึงกับนำเอาแบบอย่างชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์มาใช้ในการต่อต้านรัฐบาล การล่มสลายของขบวนการต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงเพราะการบังคับใช้กฎหมายไม่ใช่ล่มสลายเพราะรัฐบาลใช้กำลังปราบปราบดังที่ประเทศตะวันตกวางแผนไว้
ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องประหลาดใจที่เอ็นจีโอ นักวิชาการบางกลุ่ม นักการเมืองฝ่ายค้านในเมืองไทยพากันออกมาโวยวายเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
...“ข้อเรียกร้องที่ขอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นประมุขของรัฐที่ผู้ใดจะกล่าวหาหรือละเมิดมิได้นั้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้งการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 #เป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข #การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม ยิ่งกว่านั้นการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายและการปราศรัยของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่ นายณฐพร โตประยูรผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาล
และศาลยังมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องและผู้ที่ทำร่วมกันเป็นขบวนการให้หยุดการกระทำที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข...”
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งครอบคลุมไปทุกองค์ ยังอธิบายด้วยว่าพฤติกรรมที่มีเป็นมุ่งหมายด้อยค่าและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทำเป็นขบวนการและศาลมีคำสั่งให้หยุดการกระทำ..”
นี้คือสาเหตุของการโวยวายท้าท้ายอำนาจศาลฯ เพราะสำเหนียกว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ผู้สนับสนุน ผู้ให้ทุนผู้ล้างสมองเด็กตลอดถึงผู้บงการ ต้องพบกับชะตากรรมเหมือนกับ นายจิมมี ไล ในไม่ช้า จึงต้องออกมาท้าทายโวยวายด้วยความหวังว่าประเทศตะวันตกและสหรัฐอเมริกาจะช่วยได้
แต่วิเคราะห์ตามความเป็นจริง พบว่าสหรัฐอเมริกาอาจช่วยได้เฉพาะคนที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอเมริกาและมีวีซ่าพิเศษ Immigration Special Visa เพราะไปลงทุนในอเมริกาล่วงหน้าไว้มาก ส่วนฝรั่งเศสก็อาจรับผู้ที่เป็นทาสรับใช้มานาน ผู้ที่รับช่วงอุดมการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสมาล้างสมองคนรุ่นใหม่ในเมืองไทย
ส่วนบรรดา ดร.รศ. กำมะลอที่ลับๆ ล่อๆ แอบเขียนโพยให้เด็กไปอ่านโจมตีใส่ร้ายสถาบัน อย่าหวังว่าจะได้ไปขายกล้วยแขกในอเมริกาเพราะไม่ใช่ผู้รับจ้างโดยตรงเป็นเพียง subcontract ที่รับงานมาต่อจากคนแดนไกลจึงไม่มีสิทธิได้วีซ่าเข้าเมืองพิเศษ เหมือนกับชาวอัฟกันที่รับใช้อเมริกันมากว่า 20 ปี ที่ถูกทิ้งให้เสี่ยงตายอยู่ในอัฟกานิสถานหลายหมื่นคน
ดร.รศ. นักวิชาการทั้งหลายให้ดูตัวอย่างในพม่า ไว้เป็นอุทาหรณ์ นายแดนนี่ เฟนสเตอร์ อดีตนักข่าวอิสระทำงานรับจ้างสำนักข่าวต่างประเทศเป็นชิ้นๆ ไป ตั้งตัวเป็นบรรณาธิการของสื่อออนไลน์ในพม่าชื่อว่า “Myanmar Frontier” ที่เสนอข่าวโจมตีรัฐบาลทหารเป็นงานหลักตามแผนปฏิบัติการข่าวของตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา
นายเฟนสเตอร์ ถูกจับคาสนามบินนานาชาติในย่างกุ้งเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ข้อหายุยงส่งเสริมให้ชาวพม่าประท้วงต่อต้านรัฐบาลและก่อจลาจลวุ่นวายกับข้อหาตั้งสมาคมผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 6 ต.ค. นายบิล ริชาร์ดสัน อดีตผู้ว่าฯ รัฐนิวเม็กซิโกและอดีตทูตสหรัฐประจำยูเอ็นได้พบกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ขอร้องในเชิงข่มขู่ให้รัฐบาลทหารพม่าปล่อยนายเฟนสเตอร์อย่างไม่มีเงื่อนไข แต่หนึ่งวันหลังจากนายริชาร์ดสันข่มขู่พลเอกมิน อ่อง หล่าย ว่าจะบอยคอตต์รัฐบาลพม่าให้รุนแรงขึ้นไป นายเฟนสเตอร์ ก็ถูกเพิ่มข้อหาละเมิด ก.ม.คนเข้าเมือง และสามวันต่อมาเขาถูกเพิ่มข้อหาก่อการร้าย
เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พ.ย. ศาลพม่าติดสินจำคุกนายเฟนสเตอร์11 ปี แต่จู่ๆ รัฐบาลทหารพม่าก็ปล่อยตัวนายเฟนสเตอร์เมื่อวันที่ 15 พ.ย. สื่อทางการพม่าประกาศข่าวตอนเย็นวันจันทร์ว่านายแดนนี่ เฟนสเตอร์ ได้รับการปล่อยตัวหลังจากประธานสมาคมญี่ปุ่น-เมียนมา นายไฮดิโอะ วาตาเบ้ กับนายโยฮิ ซาซากาวะ ทูตพิเศษญี่ปุ่นในกิจการพม่าและเข้ามาแทรกแซงช่วยเจรจา #ซึ่งคาดหมายว่าวอชิงตันต้องชดใช้ให้ญี่ปุ่นและรัฐบาลทหารพม่าในราคาสูงมาก#
ชะตากรรมของนายจิมมี ไล ในฮ่องกง กับชะตากรรมของนายเฟนสเตอร์ในพม่านักสิทธิมนุษยชนนักประชาธิปไตยนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอาจมองว่ารุนแรงเกินไปเพราะพวกเขาเป็นเพียงผู้เห็นต่างและแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่สำเหนียกว่ารัฐบาลผู้บริหารและผู้บังคับใช้กฎหมายตลอดถึงฝ่ายตุลาการได้สืบสวนสอบสวน ติดตามพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลาตามภาระหน้าที่ และมีพยานหลักฐานชัดแจ้งว่ารับเงินต่างชาติมาล้มล้างการปกครองในประเทศ ที่มีบริบทการเมืองแตกต่างจากตะวันตกและสหรัฐอเมริกา
ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับนักวิชาการ นักการเมือง เอ็นจีโอ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รับใช้ต่างชาติ ว่าฝ่ายบริหารฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายก็มีหูมีตามีสติปัญญาที่จะพิจารณาว่าบุคคลใดกระทำผิดกฎหมายหรือไม่และมีพฤติกรรมการกระทำในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร การคัดค้านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การโจมตีข่มขู่ด้อยค่าศาลฯ จึงไม่เกิดผลดีแก่ตัวเองใดๆ นอกเสียจากอยากพาตัวเองเข้าคุกให้เร็วขึ้น
การตัดสินของศาลรธน. ในคดีที่ นายณฐพรโตประยูร เป็นผู้ร้องต่อศาลฯและศาลได้พิจารณาไปตามตัวบทกฎหมายที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งชาวบ้านทั่วไปต่างพากันอนุโมทนา สาธุ ที่กฎหมายยังเป็นกฎหมายทำให้ฝ่ายธรรมะชนะอธรรม
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี