สมัยนี้คำว่า “โปร่งใส” ดูจะเป็นคำฮอตฮิตกันมาก โดยเฉพาะในหมู่หน่วยงานราชการต่างๆ ที่ต้องปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดชัดเจนให้ภาครัฐมีความโปร่งใสปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
แต่ทว่าในความเป็นจริง คำว่าโปร่งใส เหมือนจะเป็นสิ่งที่เขียนอยู่ในแผนดำเนินงาน หรือ บทปาฐกถาของหัวหน้าหน่วยราชการต่างๆ เท่านั้น ข้อมูลหลายอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมกลับถูกปกปิด ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงบ้าง เป็นความลับทางราชการบ้าง จนมีสื่อหลายสำนักพูดบ่อยๆ ว่า หน่วยงานรัฐหลายหน่วยงาน “อยากโปร่งใส แต่ไม่อยากเปิดเผย (ข้อมูล)” ซึ่งมันไปด้วยกันไม่ได้
ผมเลยอยากใช้พื้นที่บทความนี้ อธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า ความโปร่งใสมันมีประโยชน์ยังไง ทำไมถึงต้องผลักดันกันมากขนาดนี้
ในทางเศรษฐศาสตร์ เรามักจะอธิบายว่า มนุษย์จะตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อ ผลประโยชน์ที่ได้รับจากกิจกรรมนั้น มันมากกว่า ต้นทุนที่ต้องลงไปเช่น ถ้าเราจะทำธุรกิจขึ้นมาใหม่ เราจะตัดสินใจทำเมื่อเราเห็นว่า เราจะได้รายได้มากกว่ารายจ่าย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มีกำไรนั่นเอง ซึ่งแนวคิดนี้นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า เราเอามาใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราด้วยนะ เช่น ถ้าเราหิวข้าวมากๆ ผลประโยชน์หรือความพึงพอใจที่ได้รับจากการกินข้าวจานแรกก็น่าจะเหนือกว่าต้นทุนหรือเงินที่ต้องจ่ายไป รวมกับเวลาที่ต้องเสียในการเดินทางไปที่ร้าน แต่ถ้ากินต่อไปเรื่อยๆ จนอิ่มแล้ว เราก็จะไม่กินต่อ เพราะตอนนั้นผลที่ได้มามันน้อยกว่าต้นทุนแล้ว แถมอาจจะปวดท้องจนต้องไปซื้อยาช่วยย่อย เป็นต้นทุนเพิ่มไปอีกก็ได้
การตัดสินใจโกงหรือคอร์รัปชันก็เหมือนกัน ด้วยหลักการนี้ มนุษย์จึงจะตัดสินใจคอร์รัปชันเมื่อผลประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าต้นทุน ซึ่งผลประโยชน์ในที่นี้มักจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่โกงมาได้ ในขณะที่ต้นทุนของการโกงก็อาจจะมีต้นทุนแบบตรงๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดการฮั้ว หรือค่านายหน้า ค่าผู้ประสานงานค่าสินบนให้เจ้าหน้าที่ และต้นทุนความเสี่ยงจากการถูกจับและลงโทษ ดังนั้น ก่อนใครจะโกง เขาก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า คุ้มไหม ถ้าคิดว่าอาจถูกจับได้แล้วติดคุกหลายสิบปีก็คงไม่โกง
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยที่ผ่านมาจึงมุ่งเพิ่มต้นทุนนี้ไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้เรามีกฎหมายด้านการต่อต้านคอร์รัปชันมากกว่า 15 ฉบับ ซึ่งเยอะมากสำหรับการแก้ไขปัญหาหนึ่งปัญหาในสังคม และปัจจุบันนี้บทลงโทษข้าราชการรับสินบนก็สูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตอยู่แล้ว คงไม่สามารถเพิ่มให้รุนแรงได้มากกว่านี้อีก
คำถามคือ ถ้าเราเพิ่มต้นทุนของการโกงให้สูงขนาดนี้แล้ว ทำไมคนยังกล้าโกงกันอยู่ได้ อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ถ้าดูดีๆ กฎหมายที่เพิ่มขึ้นและบทลงโทษที่สูง มันเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในต้นทุนเท่านั้น แต่อีกปัจจัยหนึ่งคือ โอกาสในการตรวจจับ เมื่อนำ 2 ปัจจัยนี้มาคูณกัน คือ โอกาสตรวจจับ คูณ บทลงโทษ มันถึงจะได้เป็นต้นทุนที่แท้จริงของการโกง ดังนั้น ต่อให้บทลงโทษหนักแค่ไหน ถ้าโอกาสตรวจจับต่ำ ต้นทุนก็ต่ำอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ คนถึงกล้าที่จะโกงกันไปทั่ว
แล้วเราจะทำยังไงได้ จะเพิ่มต้นทุนการโกงได้อย่างไร ก็มีนักเศรษฐศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์สถาบัน ซึ่งดูปัจจัยสภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคมด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ผลประโยชน์และต้นทุนอย่างนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก บอกว่าเราก็สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการตรวจจับการคอร์รัปชันสิ ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต คลิตการ์ต แห่งมหาวิทยาลัยแคลมอนต์ สหรัฐอเมริกา เลยเอาหลักการนี้มาเขียนเป็นสมการคอร์รัปชัน ว่า คอร์รัปชัน =อำนาจเบ็ดเสร็จ (monopoly) + การใช้ดุลยพินิจ (discretion)-ความรับผิดชอบ (accountability)ซึ่งหมายความว่า ยิ่งเรามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งทางการเมืองและการตลาดมากแค่ไหน หรือยิ่งข้าราชการและนักการเมืองสามารถใช้อำนาจดุลยพินิจได้มากแค่ไหน การคอร์รัปชันก็ยิ่งสูง แต่มันสามารถถูกลดทอนลงได้ด้วยการเพิ่มความรับผิดชอบ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความรับผิดชอบนี้ได้คือ การมีความโปร่งใส
ลองคิดตามดูนะครับ ถ้ามีความโปร่งใส เราจะเห็นว่า ข้าราชการและนักการเมือง ที่มาทำงานบริการประชาชนอย่างเรานั้น ทำอะไรอยู่บ้าง ใช้งบประมาณอย่างไร เสาไฟฟ้าหน้าบ้านเราราคาเท่าไหร่ ถนนหน้าบ้านเรามีกำหนดซ่อมจริงๆ อีกทีเมื่อไหร่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ แม้อาจจะไม่สามารถชี้ได้ว่าเกิดการคอร์รัปชันหรือไม่ แต่มันสามารถส่งสัญญาณให้เราเห็นได้ว่ามันแปลกๆ แล้วนะ เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สตง. ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. เข้ามาตรวจสอบต่อไป
กรณีความสำเร็จของความโปร่งใสที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ก็คงไม่พ้นเสาไฟฟ้ากินรี ที่ อ.ราชาเทวะ ที่เป็นเพราะมีประชาชนไปเห็นเสาไฟฟ้ามาตั้งอยู่กลางป่าเลยไปค้นข้อมูลในฐานข้อมูล actai.co ที่จัดทำโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เลยได้รู้ว่า มันราคาต้นละเป็นแสนบาท และมีอยู่เป็นพันต้นเลยพอร้องเรียนเบาะแสที่มาจากข้อมูลจริง หน่วยงานตรวจสอบก็จะปัดผ่านเหมือนเดิมไม่ได้ จำเป็นต้องลงมาตรวจสอบ จนพบเห็นความผิดปกติ ทำให้ปัจจุบันนี้ โครงการที่ อบต.ราชาเทวะ ตั้งไว้ว่าจะซื้อเสาไฟกินรีเพิ่ม ถูกระงับไปแล้ว และ สตง. ชี้แล้วว่าน่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. พิจารณาลงโทษผู้รับผิดชอบต่อไป
ความสำเร็จแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้เริ่มต้นด้วยการมีความโปร่งใส ให้ประชาชนมีข้อมูลเป็นอาวุธ เพื่อตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจรัฐเช่นนี้ ดังนั้นวันนี้ ถ้าเราอยากจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจริงๆก้าวแรกที่ควรจะเดินคือการเรียกร้อง และผลักดันให้ภาครัฐโปร่งใส พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างแท้จริง ตามที่เขียนไว้ในแผน และพูดไว้ในเวทีต่างๆ ครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี