นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวหลังจากราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่หนึ่ง พุทธศักราช 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว เป็นความชัดเจนแล้วว่า การเลือกตั้งระบบ 2 ใบ และจำนวน สส.ระบบเขต 400 คน สส.ระบบบัญชีรายชื่อ100 คน มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
โดยนายเทพไทกล่าวว่า “...ส่วนตัวสนับสนุนระบบการเลือกตั้ง ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และใช้วิธีการคำนวณที่นั่งสส.แบบสัดส่วนผสม เหมือนกับรัฐธรรมนูญ ปี2560 เดิม แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการคิดคำนวณแบบรัฐธรรมนูญ ปี2540 เพราะวิธีการคำนวณที่นั่งสส.ตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขใหม่ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคเพื่อไทยโดยตรง จากเดิมที่ไม่มี สส.ในระบบบัญชีรายชื่อเลยแม้แต่คนเดียว แต่วิธีการคำนวณตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขใหม่นี้ จะทำให้มี สส.ในระบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 30 คน จึงทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นเต็มๆ
การเลือกตั้งภายในใต้กติกาใหม่นี้ ถ้าต้องการให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกพรรค ต้องใช้วิธีการคิดคำนวณแบบสัดส่วนผสม และกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ 1% ของผู้ใช้สิทธิ์จึงจะมีที่นั่งสส.ได้ ส่วนตัวเชื่อว่า การเลือกตั้งตามกติกาใหม่จะทำให้ระบอบทักษิณคืนชีพมาอีกครั้ง ที่ผ่านมาเราหนีระบอบทักษิณกลับมาเจอกับระบอบประยุทธ์ และระบอบประยุทธ์ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้ระบอบทักษิณกลับคืนมาอีก ถือว่าเป็นวิบากกรรมของประเทศไทย และการที่รัฐธรรมนูญ มีกติกาออกมาเช่นนี้ จะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากพรรคร่วมรัฐบาล ที่ผลักดันให้มีวิธีคำนวณที่นั่ง สส.แบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการยื่นดาบให้ศัตรู หรือภาษาเล่นไพ่ดัมมี่ เรียกว่า ตีโง่ให้เขาเอง...”
ผมเองเห็นด้วยกับคุณเทพไท แต่ไม่ทุกประการ กล่าวคือ
1.เห็นด้วยที่แยกบัตรเลือกตั้งเป็น 2 ใบ เพื่อให้ประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์ในการเลือกตัวแทนให้ชัดเจนไปเลยว่า เขาอยากให้ “ตัวบุคคล” คนใด เป็นตัวแทนของเขา และอีกทางหนึ่ง เขาสนับสนุนพรรคการเมืองใด ก็ใส่คะแนนลงไปในบัตรเลือกพรรค ไม่ต้องให้ใครมา “ตีความ” แทนประชาชนผ่านการ “คำนวณคะแนน” แล้วเกิด สส.ปัดเศษ เกิด สส. กับพรรคการเมืองที่คะแนนไปไม่ถึงระดับ“สส.พึงมี” แต่ดันมี สส.ได้ แล้วกลายเป็น “ฝูงลิงในดงกล้วย” อย่างที่เป็นอยู่
2.เห็นด้วยที่จะคำนวณคะแนนในบัตรเลือกพรรคแบบจัดสรรปันส่วนผสม แต่ไม่ใช่เพราะกลัวพรรคไหนจะชนะ แต่เป็นหลักการคำนวณคะแนนการสนับสนุนพรรคที่มีเหตุผล และให้ความสำคัญกับทุกคะแนนของทุกพรรค บัตรทั้ง 2 ใบนี้ จึงจะได้ทำหน้าที่ “สะท้อนความต้องการ” ของประชาชนคนเลือกได้ชัดเจน
3.แต่ “นิสัย” คิดกติกาเพื่อให้คนนั้นชนะ คนนี้แพ้เป็นนิสัยที่ต้องเลิก กติกาควรเป็นมาตรฐานกลางที่เปิดทางให้ทุกคนได้แข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรม ได้สู้กันอย่างเต็มที่ โดยไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบจาก “กติกา” และ “กรรมการ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ประชาธิปไตยวิปริต” พรรคการเมืองและนักการเมืองมีหน้าที่ “ชนะใจคนเลือก” ชนะเพราะได้รับเลือก ไม่ใช่ชนะเพราะเขียนกติกาให้ได้เปรียบ แล้วชักนำบ้านเมืองสู่ความขัดแย้ง สู่การเผชิญหน้า จนอาจฉิบหายวายป่วงได้
4.จากนี้ไป ให้ทำรายละเอียดในกฎหมายที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงให้มีบัตร 2 ใบให้ชัดเจน ให้สง่างาม อย่าใช้เล่ห์เพทุบาย พาการเลือกตั้งไปสู่สงครามประชาชน
ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่กำหนดให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ว่า สูตรการคำนวณนั้น มีหลักเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญภาพรวมอยู่แล้ว อธิบายเข้าใจง่ายๆ คือถ้าพรรคไหนได้คะแนน 100% ก็ได้สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คนถ้าพรรคไหนได้ระบบบัตรใบที่ 2 ได้ 60 เปอร์เซ็นต์ก็ได้สส. 60 คน หลักก็เป็นประมาณนี้ ถ้าคำนวณอย่างนี้ก็เข้าใจง่ายๆ แต่ถ้าจะเอาตัวนั้นตัวนี้ไปหารก็จะซับซ้อน ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองมากขึ้น เนื่องจากหากเป็นระบบบัตรใบเดียวต้องเอาคนกับพรรคมามัดรวมกัน ประชาชนไม่สามารถแยกได้ ถ้าต้องการเลือกคน แต่ไม่ต้องการเลือกพรรค หรือเลือกพรรคแต่ไม่ต้องการเลือกคน ระบบบัตรใบเดียวตัวบุคคลจึงมีความสำคัญ แต่พรรคการเมืองก็เหมือนถูกด้อยค่าลงไป ซึ่งหลักประชาธิปไตยพรรคการเมืองควรเป็นสถาบัน หรือกลไกที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้น เพราะถ้าพรรคการเมืองไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความสำคัญประชาธิปไตยก็ไปยาก
“แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นระบบบัตร 2 ใบ ผมก็คิดว่าจะทำให้พรรคการเมืองมีความสำคัญ การลงสมัครรับเลือกตั้งนอกจากประชาชนจะพิจารณาตัวบุคคลแล้ว ต้องพิจารณาพรรคการเมืองด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและพรรคประชาธิปัตย์ก็สนับสนุนมาโดยตลอดเมื่อมาถึงวันนี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบประชาธิปไตย”
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องปรับโครงสร้างเพื่อรองรับระบบการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่าคงไม่ต้องปรับอะไรเพราะเราก็คุ้นเคยกับระบบนี้มาอยู่แล้ว แต่พอมาเป็นรัฐธรรมนูญ ปี’60 ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว อันนั้นเราต้องปรับ และต้องปรับทุกพรรคแต่ถ้าย้อนกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เป็นสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่เราเคยทำมาแล้ว และประชาชนก็เข้าใจดีว่าบัตรใบที่ 1 เลือกบุคคล บัตรที่ 2 เลือกพรรค มันมีความชัดเจนในตัวของมัน
เมื่อถามว่าควรจะเป็นเบอร์เดียวกันหรือไม่ทั้งบุคคลและพรรค นายจุรินทร์ กล่าวว่า ควรจะเป็นเบอร์เดียวกันเพื่อความสะดวกของประชาชนที่จะพิจารณาและตัดสินใจ ส่วนพรรคจะส่งครบทุกเขตหรือไม่นั้นกำลังดำเนินการอยู่ แล้วในเรื่องตัวบุคคลที่มีความคืบหน้าเยอะแล้วแต่โดยหลักควรจะส่งให้ครบทุกเขต
เมื่อถามว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต.ระบุว่าระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะทำให้เทคะแนนไปที่พรรคเพื่อไทยพรรคประชาธิปัตย์กังวลหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า อยู่ที่ประชาชน การวิเคราะห์หรือวิจารณ์อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงก็ได้ ถึงเวลาประชาชนอาจจะพิจารณาไปทางใดทางหนึ่งก็ได้อันนั้นขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนเราไปคาดคะเนไปก่อนก็คือการคาดคะเนเท่านั้น
“ประชาธิปัตย์เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในร่างนี้ก็ด้วยเหตุผลต้องการให้พรรคการเมืองเข้มแข็งและไม่ได้พิจารณาว่า จะเป็นประโยชน์กับพรรคไหน หรือพรรคไหนได้เปรียบ เสียเปรียบ เราต้องการให้ระบบประชาธิปไตย และระบบรัฐสภาไทยเข้มแข็ง” นายจุรินทร์ กล่าว
เมื่อถามว่า นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ระบุระบบเลือกตั้งบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ทำพรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบนายจุรินทร์กล่าวว่า “ผมไม่ทราบ ไม่ได้ติดตาม”
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ “คมชัดลึก” ถึงรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่และกำหนดให้การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้านี้ ใช้บัตรเลือกตั้งแบบ 2 ใบ โดยเป็นการเลือก สส.แบบเขตเลือกตั้ง 400 คนและสส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ว่า การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ถูกออกแบบเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา หรือแม้แต่การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ทำให้การเลือกตั้ง ย้อนกลับไปเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540แต่อย่างไรก็ตาม หากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ตนเองก็เห็นด้วยทุกประการ
“การพัฒนาการเมืองมีหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนด้วยการลงคะแนนเสียงใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือการเสนอความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมือง ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ แต่ถ้าประชาชนหวังพึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ด้วยการให้เป็นตัวแทนเฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ เฉพาะพื้นที่ ปัญหาที่ตามมาคือ สส.จังหวัดที่เน้นกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะพื้นที่ ก็จะสนใจแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่จังหวัดของตนเอง ไม่ได้สนใจการแก้ปัญหาภาพรวมของประเทศ”
นอกจากนี้ หากการเลือกตั้งยังเป็นในลักษณะของการรับเงินซื้อเสียง ซึ่งในการเลือกตั้งท้องถิ่น ก็พบว่ามีการใช้เงินซื้อเสียง ขนาดการเลือกผู้ใหญ่บ้านยังมีการซื้อเสียง ฉะนั้น เมื่อเพิ่มพื้นที่ในการมี สส.เขตขยายมากขึ้น จากเดิมมีสส.เขต 350 คน การเลือกตั้งสส.แบบใหม่ ที่ขยายพื้นที่เป็น 400 คน 400 เขต ในส่วนของเขตพื้นที่ขนาดเล็ก ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการซื้อเสียง ถ้าเขตไหนใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งมาก เขตนั้นก็ชนะเพราะเคยมีงานวิจัย ระบุออกมาว่ามีการใช้เงินซื้อเสียงมาก ถึงจำนวน 20-70 ล้านบาท
“ถ้ามีการใช้เงินซื้อเสียงและเข้ามาเป็นผู้แทน ที่จริงเงินเดือน สส.หักภาษีแล้ว ก็ไม่คุ้มหรอก แต่ถ้ามีการนำงบประมาณไปลงในพื้นที่จังหวัดและกินเปอร์เซ็นต์จากงบประมาณ สมมุติได้เงินงบประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีไปลงในพื้นที่และกินเปอร์เซ็นต์ที่ 20-30% ก็ได้ 20 ล้านบาทแล้ว แบบนี้ก็คืนทุนได้เร็วขึ้น หากใช้เงินซื้อเสียงเข้ามา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนอยากเป็นสส. และก็หนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์คือการคอร์รัปชัน” นายสมชาย ระบุ
เมื่อถามว่าจะให้แนวทางในการเลือกสส.แก่ประชาชนอย่างไร สว.สมชาย กล่าวว่า ประชาชนต้องดูที่นโยบายของพรรคการเมืองนั้นประกอบด้วยว่า มีนโยบายในการแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างไร ไม่ใช่เน้นดูเฉพาะผู้สมัคร สส.เป็นหลัก ขณะเดียวกันในส่วนของกฎหมายลูกประกอบการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกฎหมายเลือกตั้ง สส. ก็ควรมีการออกแบบวิธีการ หลักเกณฑ์ในการลงคะแนน การนับคะแนนให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก็จะป้องกันการบิดเบี้ยวของคะแนนเสียงได้
“จะทำอย่างไรให้มีการนับคะแนนเสียงที่เป็นธรรม ซึ่งก็อยู่ที่การออกแบบของรัฐสภา ต้องดูร่างกฎหมายลูกที่ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอเข้ามาและที่ประชุมร่วมรัฐสภามาพิจารณาร่วมกันเพื่อให้ได้กฎหมายการเลือกตั้ง สส.ที่เป็นธรรมที่สุด ไม่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง หรือทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ ซึ่งก็มีเวลาในการเสนอกฎหมายลูกเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาภายใน180 วัน (6 เดือน) หลังจากวันที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชุมรัฐสภาจะต้องพิจารณากฎหมายเพื่อให้เกิดความชอบธรรมมากที่สุด ประโยชน์ก็จะตกแก่ประชาชน” นายสมชาย ย้ำ
สรุป : จากนี้ไป การเลือกตั้งในบัตร 2 ใบแน่นอน ไม่ต้องมาเสียเวลาโอดโอยหรือหาช่องได้เปรียบ แต่จงคิดทำกติกา กฎหมายที่เกี่ยวข้องที่จะตามมาให้บ้านเมืองมีการเลือกตั้งที่สุจริตโปร่งใส ประชาชนได้เลือกคนที่เขาต้องการอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีใครฉวยโอกาสจากกติกาแล้วกลายเป็นปมขัดแย้ง จนบ้านเมืองหาความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันไม่ได้อีก ย่อมดีที่สุด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี