ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ไทยเราได้สูญเสียคนดีศรีอยุธยาไปถึง 2 ท่าน ได้แก่ ดร.อรุณ ภาณุพงศ์อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และนักกฎหมายมือฉกาจ และ ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการนักเคลื่อนไหว ผู้อุดมด้วยอุดมการณ์ และความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม และความยุติธรรมในสังคมไทย
ที่สหรัฐอเมริกาก็มีการสูญเสียบุคคลสำคัญเช่นกัน นั่นคือการเสียชีวิตของ พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ ชาวผิวสี ซึ่งครอบครัวของท่านได้อพยพจากประเทศจาไมกา มาตั้งรกรากอยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดย พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (หรือประธานเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ)ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดี และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นคนผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ ที่มีตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่ง ทั้งในภาคราชการประจำ และภาคการเมือง ท่านเป็นนักรบที่ได้ผ่านสงครามเวียดนามมาถึง 2 ครั้ง 2 ครา โดยพิธีศพได้จัดขึ้นอย่างสมเกียรติที่วิหารแห่งชาติ (The Cathedral)กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึง 3 ท่าน นอกจากนั้นยังร่วมด้วยภริยาประธานาธิบดีอีก 1 ท่าน เรียกได้ว่าเป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนการได้รับความชื่นชมและความเคารพนับถือในความเป็นรัฐบุรุษ และทหารหาญของบุคคลท่านนี้ได้เป็นอย่างดี
ทุกหมู่เหล่าในสังคมสหรัฐอเมริกาต่างแซ่ซ้อง ยกย่อง และชื่นชม ความเป็นผู้นำที่เอาใจใส่ต่อลูกน้องของ พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ ไม่ว่าจะเป็นที่กองทัพ หรือที่หน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่ดูแลเอาใจใส่ ให้เกียรติ และมีความสุภาพอีกทั้งเมื่อตนเองดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด เช่นในเรื่องการรุกรานประเทศอิรัก อันสืบเนื่องมาจากการรับข้อมูล และการประเมินข้อมูลที่ผิดพลาดว่า อิรักมีการครอบครองอาวุธเคมีที่ร้ายแรง ก็ออกมายอมรับความผิดพลาดแม้ว่าจะต้องเป็นตราบาปติดตัวไปก็ยืดอกรับผิดอย่างลูกผู้ชายชาติทหาร นอกจากนั้นเมื่อบ้านเมืองคับขันอยู่ในขั้นวิกฤต ในสมัยอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บริหารงานภายใต้หลักคิด และพฤติกรรมที่รุนแรง ก้าวร้าวแบบหัวชนฝา ที่มุ่งแบ่งแยกสังคม พลเอกคอลลินพาวเวลล์ ก็ไม่อยู่นิ่งเฉย ออกมาแสดงท่าทีไม่ยอมรับ และต่อต้านอย่างเปิดเผย ด้วยความกล้าหาญ
ในสมัยที่ผมดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ครั้งเมื่อไปรับตำแหน่ง ก็ได้มีโอกาสเข้าพบแนะนำตัว พบปะสนทนากับ พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ ซึ่งก็ได้ปรึกษาหารือข้อราชการความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ผมจำได้ว่า พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ นั้นเดินออกจากห้องทำงานมาต้อนรับถึงประตูทางออกของลิฟต์ ด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเอง ไม่มีทีท่าใดๆ ว่าจำใจจะต้องออกมาต้อนรับผู้ที่มาจากประเทศเล็กประเทศหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว ระหว่างการพบปะ พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ ยังตั้งใจฟัง แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างมีสาระเนื้อหา แล้วก็ร่ำลากันด้วยความประทับใจของผมต่อนายพลร่างสูงใหญ่ท่านนี้
หันกลับมาที่ประเทศไทย แม้ท่านอดีตรัฐมนตรี ดร.อรุณ ภาณุพงศ์ จะไม่ได้โด่งดังในระดับโลก แต่ในวงการกฎหมาย และการทูตของไทยแล้ว ท่านได้เป็นที่ยอมรับในความแหลมคมลึกซึ้งชาญฉลาดในเรื่องการต่างประเทศ และในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีความโยงใยกับกฎหมายไทย นอกจากนั้น ท่านยังมีบทบาทอันสำคัญในกรอบงานของสำนักงานกฤษฎีกาอีกด้วย
แม้การเก่งกาจช่ำชองในเรื่องการต่างประเทศของท่านเป็นเรื่องหลัก แต่ความเจนจัดในเรื่องกฎหมายของท่านก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเรารุ่นน้องๆ เชื่อในฝีมือเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาเป็นตัวตั้ง ดูแลกระทรวงต่างประเทศอย่างทั่วถึง ไม่ให้มีใครหรืออะไรตกหล่น มีความเป็นกันเอง ระคนด้วยอารมณ์ขัน และความแหลมคมผมเข้ากระทรวงฯ โตพอทันที่จะเรียกท่านรัฐมนตรีอรุณว่า“พี่รุณ” เหมือนกับเพื่อนข้าราชการอีกหลายๆ คน หลายๆ รุ่น โดยต่างเห็นพ้องกันว่า พี่รุณนั้นเป็นแบบอย่างของข้าราชการที่ยอดเยี่ยม เป็นนักวิชาการที่หนักแน่นในเนื้อหาและความคิดสร้างสรรค์ มีแบบฉบับการวางตัวที่ประนีประนอม และเข้ากับทุกคนได้ และเมื่อใครได้เข้ามารู้จักข้องแวะ ก็จะอดรักและเคารพนับถือไม่ได้ การจากไปของท่านจึงถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันล้ำค่ายิ่งอีกท่านหนึ่งของประเทศไทย
ในขณะที่ ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นั้น เราต่างได้มาเจอกันในสมัยพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย (หรือขบวนการขับเคลื่อนเสื้อเหลือง) ทั้งบนเวที และหลังเวทีซึ่งการพบ และคุยกันครั้งแรก ก็เรียกได้ว่าต่างถูกชะตากันทันที หลังจากยุคนั้น ดร.สมเกียรติ และผม ต่างก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กันอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะลาออกตามกันมา โดยในกระบวนนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวที่ผมได้รู้จักมักจี่ ผมถือว่า ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นั้นเป็นคนจริง เป็นของจริง กล่าวคือเป็นผู้ที่ยึดมั่นในเรื่องอุดมการณ์ ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคมอย่างไม่เสื่อมคลาย และท่านไม่ใฝ่หาตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ด้วยการโอนอ่อนต่ออุดมการณ์ ต่อการขายตัว ขายจิตและวิญญาณ ท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง ไม่พูดสวยไม่ทำท่าสวย หากแต่เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ตั้งมั่น และจริงใจต่อความถูกต้อง
แม้ที่ผ่านมาหลายปี ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์เจ็บไข้ด้วยโรคมะเร็งร้ายเรื้อรัง แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือเรียกร้องความสงสาร หรือความเห็นอกเห็นใจจากใคร มีแต่ความมุ่งมั่น เอาจริง และมุ่งต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อสิทธิ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์มาโดยตลอด เป็นที่ประจักษ์ และจับต้องได้ ก็หวังไว้ว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะจารึกเรื่องราวของ ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไว้ให้เป็นแบบอย่าง และเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ร่วมงานร่วมอุดมการณ์ ได้ร่วมกันต่อสู้และมุ่งหน้าต่อไปเพื่อความถูกต้องของสังคม และช่วยให้อนุชนรุ่นหลังไม่คิดท้อแท้ หรือเบี่ยงเบนไปทางอื่น
ทั้ง 3 ท่านที่กล่าวมา ผมถือว่าตนเองโชคดีที่ได้มีโอกาสรู้จัก มีโอกาสร่วมทำงานด้วย โดยทั้งดร.อรุณ ภาณุพงศ์ และ ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ต่างก็เสียสละตน ทำเพื่อราชอาณาจักรไทยของเราส่วน พลเอกคอลลิน พาวเวลล์ ก็ได้ช่วยส่งเสริมมิตรไมตรีของทั้ง 2 ประเทศ และของ 2 ประชาชนพลเมือง
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องของการเพียรพยายามที่ต่างคนต่างมุ่งทำความดี โดยเฉพาะในเรื่องที่สร้างสรรค์ และเป็นการอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ที่ไม่มีเรื่องของการหาประโยชน์เข้าตัวแต่ใดๆ
ในโอกาสนี้ ผมก็ขอใช้พื้นที่นี้ในการแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ ดร.อรุณ ภาณุพงศ์ดร.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และพลเอกคอลลิน พาวเวลล์ โดยขอกราบแสดงความเคารพด้วยความชื่มชมอย่างสูงมา ณ ที่นี้ด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี