นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา สส.นครปฐม พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงผลการประชุมของคณะ กมธ. เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ระบุว่า มีการพิจารณาเรื่องหลักเสรีภาพทางวิชาการ ทำให้อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถูกฟ้องร้องดำเนินคดี กรณีปัญหาการอ้างอิงในวิทยานิพนธ์ของนายณัฐพล ใจจริง ซึ่งสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น
กมธ.ห่วงว่า กรณีที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อหลักเสรีภาพวิชาการ โดยผู้แทนจากจุฬาฯ ชี้แจงว่า การตั้งคณะกรรมการเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ไม่ใช่การตั้งเพื่อหาบทลงโทษ ซึ่งการสืบหาข้อเท็จจริงยังไม่สิ้นสุด ในที่ประชุมคณะ กมธ. เสนอแนะว่า จุฬาฯ ควรออกมาให้ข้อมูลที่ชัดเจนต่อสาธารณะ เกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการ ที่ต้องไม่มีการพิจารณาบทลงโทษผู้ใด และควรแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเพื่อปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ รวมถึงเสรีภาพของนิสิต ในการกำหนดเรื่องหรือประเด็นที่จะศึกษา โดย กมธ.จะมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปยังจุฬาฯ เพื่อให้พิจารณาอีกครั้ง
1. นายณัฐพล ใจจริง เป็นผู้เขียนวิทยานิพนธ์หัวข้อ “การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)” และเป็นผู้เขียนหนังสือ “ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อฯ” และ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริหารพรรคก้าวไกล
เนื้อหาในหนังสือเหล่านี้ คือ ส่วนหนึ่งที่ “แกนนำและแนวร่วมม็อบสามนิ้ว” ที่ ได้เอาไปใช้อ้างอิง เอาไปฝังหัวเป็นความเชื่อ กระทั่งเคียดแค้นชิงชัง หลงผิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์แทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายรัฐบาลตามเนื้อหาที่อ้างอิงในหนังสือ โดยอ้างว่า “เป็นงานวิชาการ”
แต่เต็มไปด้วยช่องโหว่ และข้อมูลที่เลื่อนลอย บิดเบือน
ดังที่ ดร.ไชยันต์ ไชยพร แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้เคยตรวจสอบพบไปก่อนหน้านี้
2. เมื่อมีการตรวจสอบ ปรากฏว่า กลุ่มนักวิชาการและเอ็นจีโอกลุ่มเดิมกับที่หนุนหลังม็อบสามนิ้วนั่นเอง ที่ออกมาปกป้อง อ้างเสรีภาพทางวิชาการ (ทั้งๆ ที่ มีเสรีภาพในการนำเสนอ แต่ต้องมาพร้อมรับผิดชอบต่อการถูกตรวจสอบด้วยความจริง ว่ามีการโกหกให้ร้ายผู้อื่นในงานเขียนนั้นหรือไม่)
3. ล่าสุด ดร.ไชยันต์ ไชยพร ได้ไปออกรายการช่องนิวส์วัน Newstalk ตัวจริง เสียงจริง
มีการตีแผ่ สรุป “10 ประเด็น ที่ใส่ร้ายในหลวง ร.9” ประกอบด้วย
1.การกล่าวว่า สมเด็จย่าทรงอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร
2.การกล่าวว่า ในหลวงรัชกาลที่เก้าทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน
3.การกล่าวว่า กรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รับรองรัฐประหารอย่างแข็งขันและรวดเร็ว
4.การกล่าวว่า กรมขุนชัยนาทฯ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รับรองรัฐประหารแต่เพียงผู้เดียว
5. กรมขุนชัยนาทฯ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เข้าประทับเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีของของ จอมพล ป. ในปี พ.ศ. 2493
6. กรมขุนชัยนาทฯผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทรงไม่พอใจกับการขับไล่ ควง อภัยวงศ์ ลงจากอำนาจ และค้านการแต่งตั้งจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทน
7. กรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทรงมีความคิดที่จะกำจัด จอมพล ป.
8. ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะตั้งให้พระองค์เจ้าธานี พระยาศรีธรรมาธิเบศ และหลวงสินาดโยธารักษ์เป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ป.ในปี พ.ศ. 2494 รวมถึงการอ้างถึง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลว่า ทรงมีบทบาทในการให้คำแนะนำในหลวงให้มีท่าทีไม่พอใจรัฐบาล
9. แผนการเสด็จเยือนชนบทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีจุดประสงค์เพื่อท้าทายอำนาจรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
10. คำกล่าวอ้าง” ของพูนศุข พนมยงค์ ในหนังสือพิมพ์ Observer ปี 2500 เกี่ยวกับประเด็น “กรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8” ที่ปรากฏในวิทยานิพนธ์ของณัฐพล ใจจริง และบทความของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ทั้งหมดนั้น ดร.ไชยันต์ ได้นำหลักฐานข้อเท็จจริง ทั้งเอกสารในประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ นำมาหักล้าง จับเท็จคำโกหกได้อย่างชัดเจน พบว่า หลายเรื่องเป็นการยกเมฆ กล่าวหาเอาเอง คาดหมายเอาเองของผู้เขียน แต่สรุปราวกับว่าเอกสารหลักฐานประวัติศาสตร์ระบุไว้ ยิ่งกว่านั้น บางเรื่องเป็นการโมเม ปั้นน้ำเป็นตัวเอาดื้อๆ เช่น กล่าวว่ามีสื่อบางสำนักรายงานว่ามีการเข้าร่วมประชุม ครม. แต่สุดท้ายไม่มีรายงาน
ดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ฯลฯ
ยิ่งกว่านั้น ยังระบุด้วยว่า
“...ประเด็นที่นักวิชาการฝ่ายวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่กล่าวถึงเลย คือ การรัฐประหารวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 จอมพล ป.พิบูลสงคราม และคณะได้ทำการรัฐประหารได้ฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 คณะบริหาร
ประเทศชั่วคราว (คณะรัฐประหาร พ.ศ. 2494) ได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่งตั้งให้ พลตำรวจโทเผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้รักษาความสงบภายในทั่วราชอาณาจักร โดยไม่มีพระปรมาภิไธย! และการทำรัฐประหารดังกล่าวได้นำมาซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ฉบับแก้ไข พ.ศ. 2495
แต่มักจะกล่าวถึงเหตุการณ์วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 และชี้ว่า “ในหลวง ร. 9 เริ่มละเมิดรัฐธรรมนูญ โดยการลงพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร โดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ” (เฟซบุ๊ค Thanapol Eawsakul 16 กันยายน 2564)
ซึ่งการลงพระบรมราชโองการดังกล่าวนี้ สามารถอธิบายได้ดังนี้ ต่อกรณี พระบรมราชโองการ แต่งตั้งจอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้รักษาพระนคร ในวันที่ 16 กันยายน 2500 โดยไม่มีผู้รับสนองนั้นในหลวง รัชกาลที่เก้าทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2495 มาตรา 88
“มาตรา ๘๘ ในเหตุฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยสาธารณหรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้ก็ดี เมื่อกรณีเช่นว่านั้นเกิดขึ้นในระหว่างสภาถูกยุบก็ดี พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดั่งเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ ในการประชุมสภาคราวต่อไป ให้เสนอพระราชกำหนดนั้นต่อสภาโดยไม่ชักช้า ถ้าสภาอนุมัติแล้ว พระราชกำหนดนั้นก็ให้มีผลเป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้าสภาไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้นก็เป็นอันตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระทั่งกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น”
สถานการณ์ขณะนั้น “นายกรัฐมนตรีฯ หนีไปเกาะกง และบอกว่าไม่ต้องตาม” มีผู้วิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าวไว้ ดังนี้ รัฐธรรมนูญและการรัฐประหารต่างปฏิเสธสถานะซึ่งกันและกัน เมื่อสิ่งหนึ่งได้บังเกิดและยังคงสถานะอยู่ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกันย่อมไม่อาจดํารงสถานะอยู่ในเวลาเดียวกันได้ การรัฐประหารที่กระทําสําเร็จลงโดยเด็ดขาดแล้วสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ใหม่ รัฐธรรมนูญจึงไม่อาจดํารงสถานะอยู่ในเวลาเดียวกันได้ย่อมสิ้นสุดลงไปในทันที การที่รัฐธรรมนูญยังมีผลใช้บังคับต่อไปก็โดยเจตจํานงของคณะรัฐประหารในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ผู้มีอํานาจจัดให้รัฐธรรมนูญใช้บังคับต่อไป ภายหลังการรัฐประหารทุกครั้ง ไม่ว่าการรัฐประหารจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ผลทางกฎหมายประการหนึ่งได้ คือ การสิ้นสุดลงของรัฐธรรมนูญโดยทันทีพร้อมๆ กับการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์คนใหม่ แม้ในทางปฏิบัติอาจปรากฏว่ามีรัฐธรรมนูญบางฉบับไม่ได้ถูกยกเลิก แต่ในทางทฤษฎีแล้วรัฐธรรมนูญ
สิ้นสุดลงไป “ทุกฉบับ”
5. จากอาการที่ปรากฏ คงจวนตัว และใกล้วาระสุดท้ายของคนที่ชอบแอบอยู่หลังม็อบสามนิ้ว ยุให้เด็กออกหน้ามาทำผิดกฎหมาย และพวกตนคอยเก็บเกี่ยวผลทางการเมือง
คนพวกนี้ มีทั้งแอบแฝงตัวอยู่ในคราบนักวิชาการ อาจารย์สอนมหาวิทยาลัย เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และนักการเมืองในสภา
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี