ท่านพุทธทาสเคยเทศน์เรื่อง ไสยศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ไว้ตอนหนึ่งว่า อย่าไปตำหนิคนที่มีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ที่ทรงเจ้าเข้าผีประพรมน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากให้คิดว่าไสยศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์คนที่มีศรัทธาอันแรงกล้าและมีความเชื่อตรงกันกับหมอผีเกจิอาจารย์ทำให้เคมีในร่างกายเปลี่ยนในทางที่ดีได้...
คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยสมัยก่อนที่มักไปหาหมอผีหรือหาพระเกจิอาจารย์ประพรมน้ำมนต์ให้อาจหายจากอาการไข้ป่วยได้ หากมีความเชื่อและศรัทธาอันแรงกล้าตรงกันแค่แป้งมันธรรมดาเอามาปั่นเป็นยาก็อาจรักษาการป่วยไข้ให้หายได้ เพราะเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้าทำให้เคมีในร่างกายก็เปลี่ยนในทางที่ดี
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ
และเมื่อนำทฤษฎีนี้มาเปรียบเทียบกับโรคร้ายโควิด-19 ผู้คนที่เชื่อมั่นศรัทธาว่าสมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจรใช้รักษาเชื้อโควิด-19 ได้ พบว่ามีคนจำนวนมากยืนยันว่าฟ้าทะลายโจรดีกว่ายาฝรั่ง
และเมื่อถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อต่างๆ สามารถป้องกันเชื้อโรคอันตรายและลดอาการป่วยรุนแรงหรือลดการเสียชีวิตจากการติดเชื้อลงได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นศรัทธาดังท่านพุทธทาสเทศน์ไว้ก็อาจเป็นได้ ส่วนหนึ่งที่ไม่ติดเชื้อโควิดเป็นเพราะเชื่อว่าวัคซีนดีจริง ที่สำคัญเชื่อที่หมอสั่งว่าถึงแม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ป้องกันตัวเข้าไว้อย่าให้การ์ดตก
แต่คำสอนหรือเทศนาของท่านพุทธทาสภิกขุ มิได้ทำเพื่อการค้า คำสอนของท่านจึงไม่ได้แพร่หลาย เหมือนกับรายการโฆษณาชวนเชื่อ เช่นการปั่นกระแสว่าวัคซีนบางตัวเหมือนยาเทวดา และบางครั้งบริษัทยาก็ปั่นกระแสเรื่องโรคร้ายกลายพันธุ์ขึ้นมา ราวกับว่าสร้างความกลัวเพื่อขายยาที่บริษัทผลิตและจำหน่ายยาขาใหญ่ร่วมมือกับนักวิชาการด้านการแพทย์ในมหาวิทยาลัยคิดค้นวัคซีนขึ้นมาได้และขายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ชาวโลกไปฉีดกันแพร่หลาย
ประมาณการว่าในห้วงเวลาสิบเอ็ดเดือนที่ผ่านชาวโลกกว่า 7,000 ล้านคนได้รับวัคซีนไปแล้วไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านโดส แต่ที่น่าประหลาดคือยิ่งฉีดวัคซีนมากเท่าไหร่เชื้อโคโรนายิ่งกลายพันธุ์ใหม่ๆ เป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เชื้อโคโรนาที่ทำลายระบบทางหายใจอย่างรุนแรง ทำลายปอดให้เสียหายและเสียชีวิตได้หลังจากติดเชื้อโควิดเพียงไม่กี่วัน
เมื่อโคโรนาเปลี่ยนชื่อเป็นโควิด-19 และเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิดตั้งแต่ต้นปี 2564 สิบเอ็ดเดือนผ่านไปเชื้อไวรัสตัวร้ายได้กลายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ นานา มาในหลายสายพันธุ์ เชื้อกลายพันธ์ุที่ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลมากที่สุดในปัจจุบันมีอยู่ 4 สายพันธุ์คือ
• อัลฟ่า (Alpha) ตรวจพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร
• เบต้า (Beta) ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้
• แกมม่า (Gamma) ตรวจพบครั้งแรกในบราซิล
• เดลต้า (Delta) ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย
“..และล่าสุดคิดว่าคงจะไม่ใช่สุดท้ายคือเชื้อกลายพันธ์ุชื่อ Omicron” (โอไมครอน) พบในแอฟริกา
ว่ากันว่าเชื้อกลายพันธ์ุโอไมครอน พบในเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนีก่อนหน้า แต่ว่าทุกประเทศปิดเงียบไว้เมื่อไปพบในแอฟริกาภายหลังก็กลายเป็นข่าวดังขึ้นมา แอฟริกาเลยตกเป็นแพะรับบาป ซึ่งเหมือนกับตอนมีที่ข่าวพบเชื้อโคโรนาครั้งแรก จนวันนี้จีนกับสหรัฐอเมริกายังเถียงไม่เลิก ว่าพบเชื้อโคโรนาที่ไหนก่อนกันแน่ บ้างก็ว่าเชื้อโคโรนาจะหลุดออกมาจากห้องแล็บในอู่ฮั่น หรือมันอาจหลุดออกมาจากห้องแล็บแห่งใดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
และทุกครั้งที่พบเชื้อกลายพันธ์ุดังกล่าวองค์กรอนามัยโลกหรือ WHO จัดให้อยู่ในกลุ่ม “เชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล” เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุข เช่น สามารถทำให้เชื้อโรคโควิดติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง หรือทำให้เชื้อต้านทานวัคซีนได้
แล้ว WHO กับบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ก็ประโคมข่าวว่าเป็นเชื้ออันตรายร้ายแรงกว่าเชื้อตัวเก่าที่สามารถหลบเลี่ยงวัคซีนได้ ดังนั้นบริษัทยาต้องวิจัยศึกษาพัฒนาวัคซีนให้ทันกับเชื้อร้าย ทำให้เกิดการสงสัยว่าเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ นานานั้น เป็นแผนการค้าของบริษัทขายยาหรือไม่
ที่น่าสงสัยหนักขึ้นไปคือทำไมเชื้อกลายพันธ์ุชนิดใหม่ไม่เกิดขึ้นในประเทศจีนและในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ออกจำหน่ายและบริจาคให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น บริจาคให้ประเทศไทย 1.5 ล้านโดส ส่วนไฟเซอร์ 30 ล้านโดสลอตใหญ่ขายให้ไทยในราคาแพง
สหรัฐอเมริกาคุยว่าฉีดวัคซีนครบโดสให้กับประชากร 320 ล้านคนไปแล้วกว่า 70% แต่น่าเสียดายที่ยังมีประชาชนร่วม 80 ล้านคนในอเมริกาไม่ยอมรับวัคซีน เพราะมีความเชื่อว่าวัคซีนที่ผลิตในอเมริกาเหมือนยาสั่งเมื่อถึงเวลาที่วัคซีนทำให้เชื้อแกล้งตายอาจกลายพันธุ์ขึ้นมาได้
ที่น่าคลางแคลงใจคือสหรัฐฯฉีดวัคซีนให้ประชากรมากกว่า 70% ของประชากรแล้วแต่ทำไมจึงมีคนติดเชื้อและตายมากที่สุดในโลก คือมีคนติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 48.4 ล้านคนและมีคนเสียชีวิตไปแล้ว 776,639 คน (ตัวเลขเดือนพ.ย. 2564) คนอเมริกันส่วนหนึ่งเชื่อว่าวัคซีนที่ผลิตในสหรัฐเหมือนยาสั่ง ดังนั้นต้องฉีดวัคซีนต่อเนื่องตามระยะเวลากำหนด ฉีดเข็มหนึ่ง ฉีดเข็มสองแล้วต้องมีบูสเตอร์ และมีคนอีกจำนวนมากฉีดเข็มสี่ไปแล้ว ที่น่าสงสัยว่าทำไมยังมีคนติดเชื้อวันละเป็นแสนรายและตายเป็นพันเป็นหมื่นคนต่อวัน
รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โทษประชาชนราว 80 ล้านคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน ว่าคนเหล่านี้คือตัวอันตรายทำให้เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดจนไม่อาจควบคุมได้ ฝ่ายคนที่ไม่ยอมรับวัคซีนกล่าวหาว่าบริษัทผลิตยา ทำวัคซีนเป็นยาสั่งเอาไว้ถึงเวลากำหนดต้องฉีดเข็มต่อไปๆ ไม่มีวันจบสิ้น
วัคซีนที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาเป็นวัคซีนชนิด mRNA เช่น Pfizer Moderna Johnson & Johnson ฯลฯ เป็นวัคซีนชนิดสายพันธุกรรม
วัคซีนที่ผลิตในประเทศจีนมี Sinofarm และ Sinovac เป็นวัคซีนเชื้อตายที่ใช้ส่วนใหญ่ในประเทศไทย และอนุมานได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีน mRNAเมื่อเปรียบเทียบกันประเทศจีนมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน มีคนตายจากเชื้อโควิด-19 แค่หลักหมื่นและมีผู้ติดเชื้อเพียงหลักแสนคน
ประเทศไทยซึ่งใช้วัคซีนเชื้อตายจากจีนเป็นส่วนใหญ่ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคนถ้านับรวมประชากรแฝงน่าจะกว่า 70 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตเพราะโควิด-19 ประมาณ 21,000 คน มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 220,000 คน
ระบบสาธารณสุขไทยฉีดวัคซีนให้ประชากรไปแล้วประมาณ 94.5 ล้านโดส ในจำนวนนี้ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก 48.5 ล้านคน เข็มสองประมาณ 42.2 ล้านคน และเข็มสาม 3.5 ล้านคน
ผลจากการเร่งระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างมีนัยจากจุดสูงเมื่อเดือนเม.ย. ที่ผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่สองหมื่นปลายๆใกล้แตะสามหมื่นคนต่อวัน แต่ระยะสองเดือนที่ผ่านมาปรากฏว่าการติดเชื้อลงมาต่อเนื่องและสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาทรงตัวอยู่ที่ 4 ถึง 5 พันกว่าคนต่อหนึ่งวัน
จึงทำให้เชื่อได้ว่าการสร้างกระแสเชื้อโควิดกลายพันธ์ุขึ้นมาถึง 5 สายพันธ์ุภายในระยะเวลาหนึ่งปีน่าจะเป็นการสร้างกระแสให้เกิดความกลัวของบริษัทขายยาขาใหญ่ เพราะทุกครั้งสร้างกระแสโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่จะสำทับว่าเป็นอันตรายกว่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา และบริษัทยากำลังค้นคว้าศึกษาพัฒนาวัคซีนและให้ทันกับที่กลายพันธุ์ขึ้นมาใหม่
เคยสังเกตไหมว่าประเทศไทยใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา ซึ่งส่วนหนึ่งผลิตในประเทศไทยกับวัคซีนซิโนแวค และซิโนฟาร์ม ที่ผลิตในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ ทำไมประเทศไทยจึงควบคุมเชื้อโควิด-19 ได้ดีกว่าสหรัฐอเมริกาที่อ้างว่าพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ให้ทันกับเชื้อโคโรนากลายพันธุ์ซึ่งอันตรายกว่าสายพันธ์ุก่อนหน้า
ใช้หลักคิดและตรรกะแบบชาวบ้านทำให้เชื่อว่าตะวันตกปั่นกระแสโควิด-19 กลายพันธุ์ต่างๆ นานาขึ้นมาเพื่อหลอกขายยาค้าวัคซีน
ยาและวัคซีนที่อ้างว่าพัฒนาใหม่ให้ทันกับการกลายพันธ์ุของโรคร้าย แท้จริงแล้วมันคือวัคซีนและยาตัวเก่า แต่ปั่นกระแสให้ชาวโลกเกิดความกลัวเพื่อโก่งราคาและโฆษณาชวนเชื่อให้ชาวโลกแห่กันซื้อยามาตุนไว้
จึงสรุปว่าวัคซีนแอสตราเซเนกา วัคซีนซิโนแวคและซิโนฟาร์มที่ประเทศไทยใช้เป็นส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพสูงพอที่จะป้องกันโควิด-19 ดังที่ท่านพุทธทาสได้เทศน์ไว้ตอนหนึ่งว่าหากมีความเชื่อและศรัทธาอย่างแรงกล้าทำให้เคมีในร่างกายเปลี่ยนไปในทางที่ดีบางทีแป้งมันธรรมดาก็ทำเป็นยารักษาโรคได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี