กระบวนการสร้างความเป็นประชาธิปไตยของไทย (Democratization process) ก็มีขึ้นมีลง มีความคืบหน้า และก็มีความถดถอย แต่ก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะฝ่ายประชาธิปไตยยังมีความมุ่งมั่นและหนักแน่น แม้ว่าจะได้เผชิญกับฝ่ายอุดมการณ์พรรคเดียว ฝ่ายทหารการเมือง และฝ่ายอนุรักษ์หรือเผด็จการนิยม ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็เสื่อมคลายหายไปฝ่ายทหารการเมืองก็ยังคงคึกคัก และได้รับการสนับสนุนค้ำจุน จากฝ่ายอนุรักษ์นิยม จึงจัดได้ว่าฝ่ายอำนาจนิยมเข้มแข็งและมีภาษีเหนือกว่าฝ่ายหัวก้าวหน้าประชาธิปไตย และประเทศไทยก็คงอยู่ในสภาวะของการเป็นสังคมกึ่งอำนาจนิยม กับกึ่งประชาธิปไตยก้าวหน้าต่อไปอีกยาวนานหลายปี หรือนัยหนึ่งการเป็นสังคมประชาธิปไตยเป็นเสมือนต้นบอนไซ หรือหากเป็นคนก็เป็นคนแคระ
เมื่อไม่เป็นประชาธิปไตย ประเทศไทยก็ถูกสอดส่องโดยประชาคมโลก และล่าสุดรัฐบาลไทยก็ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการประชุมสุดยอดทางออนไลน์ว่าด้วยประชาธิปไตย ในวันที่ 9 ธันวาคม นี้ โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่มและเป็นเจ้าภาพ
ก็เป็นภาระของทุกหมู่เหล่าในสังคมไทยที่จะรับสภาพและสถานะนี้กันต่อไปหรือไม่ คือจะพึงพอใจกับการเป็นสัตว์การเมืองแบบสะเทินน้ำสะเทินบก ครึ่งประชาธิปไตยครึ่งอนุรักษ์นิยม หรืออำนาจนิยม หรือเผด็จการนิยม หรืออยากจะช่วยกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยไปถึงฝั่งประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ หรืออย่างน้อยก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ามาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในฐานะประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนด้วยกัน หรือจะมุ่งให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยที่ทัดเทียมกับไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ประเทศเพื่อนบ้านในละแวก แต่ดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงปีนี้แล้ว ก็ดูเสมือนว่ากลุ่มผู้คุมอำนาจรัฐ อำนาจการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ยังมีความเหนียวแน่นและพึงพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ขณะที่ฝ่ายหัวก้าวหน้าประชาธิปไตย และฝ่ายต่อต้านกลุ่มอำนาจเดิม (The establishment) ตกอยู่ในสภาพถูกตีกรอบ และถูกรุกไล่เข้าสู่มุมอับ และความเพียรพยายามที่จะใช้เวทีเปิด และเวทีตัวแทนของประชาชนคือ รัฐสภา เพื่อให้มีการร่วมคิดอ่านในการขับเคลื่อนประชาธิปไตยของไทยก็ถูกปิดกั้นอย่างน่าเสียดาย
เมื่อตอนต้นปีกลุ่ม iLaw ภาคประชาสังคมและภาคประชาชนก็ได้เสนอร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่สภา
และล่าสุดกลุ่มรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยด้วยรายชื่อ 130,000 คน ก็ได้เสนอแนวคิดหลักๆ เพื่อการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก็ถูกตีกลับไปด้วยสมาชิกรัฐสภาที่มีจำนวนรวม 750 คน
นัยของเรื่องที่เป็นที่น่าผิดหวัง น่าอดสู และน่าสลดใจก็คือฝ่ายการเมืองในรูปแบบ (Conventional Politics) ที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองก็ได้ปฏิเสธเสียงของประชาชนทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง เสมือนว่าความคิดอ่านของฝ่ายประชาชนนั้นไม่มีความหมาย ไม่มีสาระสำคัญ โดยมิได้คำนึงว่าข้อเสนอของฝ่ายประชาชนที่จะให้มีการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับก็ดี หรือการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันโดยการตัดออกหรือยกเลิกทุกมาตราที่บ่งบอกความไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐไทยออกไปว่า ต่างมีจุดประสงค์เพื่อให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หรือมีความเป็นสากล และฉะนั้นก็เป็นการตัดทิ้งซึ่งสาระเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือบ่งบอกและรักษาไว้ซึ่งความเป็นเผด็จการหรืออำนาจนิยม
เท่ากับว่าสมาชิกรัฐสภา 750 คน ในนามของพรรคการเมืองได้ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับภาคประชาสังคมและภาคประชาชนโดยทั่วไป ในการขจัดอุปสรรคความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง และร่วมกันขับเคลื่อนและเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
การนี้ก็แสดงว่าบรรดาฝ่ายการเมืองในรูปแบบต่างคิดว่าฝ่ายตนเองเท่านั้นที่เป็นเจ้าของความคิดความอ่านและเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชนผู้ไม่เหลียวแล และไม่ให้เกียรติต่อฝ่ายประชาชนโดยทั่วไป และต่อกลุ่มภาคประชาสังคมเป็นการเฉพาะ
สิ่งที่ทางฝ่ายการเมืองในรูปแบบ หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชนทางการเมือง ควรจะได้คิดคำนึงและตระหนักคือข้อเสนอของภาคประชาสังคมและภาคประชาชน จะทำให้ความเป็นอำนาจนิยมลดน้อยลงหรือไม่ และจะทำให้ความเป็นประชาธิปไตยสามารถก้าวเข้าไปข้างหน้าหรือไม่ในภาพรวม ไม่ใช่การยกประเด็นหนึ่งใดของข้อเสนอของฝ่ายประชาคมและประชาชนออกมาถกเถียงกัน แล้วมีข้อยุติว่าข้อเสนอนั้นไม่ดี แล้วก็ตัดสินใจปฏิเสธร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญของภาคประชาสังคมและภาคประชาชนออกไปทั้งฉบับหรือปฏิเสธข้อเสนอแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งหมดเลย
และที่แย่ไปกว่านั้น ฝ่ายการเมืองในรูปแบบก็สาละวนกับเรื่องตนเอง คือจำนวนเขตเลือกตั้ง สัดส่วนระหว่างจำนวนบัญชีรายชื่อพรรค และจำนวนผู้แทนที่จะมาจากเขตเลือกตั้ง ไปจนถึงเรื่องกาบัตรเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เมื่อเทียบกับเรื่องสำคัญๆ อื่นในกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการวางรากฐานและส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย ความเป็นมาดังกล่าวนี้ก็จัดได้ว่าฝ่ายการเมืองในรูปแบบทั้งหมด เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นฝ่ายที่ต้องการจะรักษาฐานันดรเดิม และพึงพอใจที่จะดำเนินชีวิตและบทบาททางการเมืองในกรอบกฎเกณฑ์กติกาที่หนักไปทางด้านอำนาจนิยมมากกว่ากฎเกณฑ์กติกาว่าด้วย การมีส่วนร่วม การกระจายความรับผิดชอบ และการแบ่งและถ่วงดุลอำนาจ และการร่วมกันตัดสินใจโดยทุกหมู่เหล่าในเรื่องสำคัญๆ ของประเทศชาติ
ความเป็นคนแคระสังคมประชาธิปไตยจึงจัดได้ว่ามีสาเหตุมาจากการที่มีคนแคระมากมายเล่นแร่แปรธาตุอยู่ในเวทีการบ้านการเมือง คนแคระที่อับด้วยปัญญาและจิตสำนึก และอุดมการณ์เสรีนิยม จึงจัดได้ว่าสังคมการเมืองไทยมีความแตกแยกออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายที่แน่ชัด คือ ฝ่ายอนุรักษ์หรืออำนาจนิยม กับฝ่ายเสรีนิยมและการมีส่วนร่วม
ในวันนี้โลกได้กลับเข้าสู่โลกยุคสงครามเย็นอีกครั้ง คือการขับเคี่ยวระหว่างอุดมการณ์ว่าด้วยเสรีประชาธิปไตย กับอุดมการณ์ว่าด้วยอำนาจนิยมรวมศูนย์ ฝ่ายแรกนำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายหลังนำโดยจีนคอมมิวนิสต์
ณ วันนี้ ผู้นำรัฐไทยดูเอนเอียงไปกับจีน ก็ไม่เป็นที่แปลกใจเท่าใด ก็ได้มีพฤติกรรมที่เป็นเผด็จการหรืออำนาจนิยมโดยตลอดมาเป็นเวลาจะ 8 ปีแล้ว แต่พฤติกรรมนี้สะท้อนความต้องการของปวงชนชาวไทยอย่างลึกซึ้งจริงใจหรือไม่ และอำนวยประโยชน์ให้กับประเทศไทยในเวทีโลกหรือไม่
ข้อคิดก็คือ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในการปิดศักราชสังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ได้เริ่มศักราชของการเป็นราชอาณาจักรที่เป็นประชาธิปไตย และครั้งนี้มิได้มีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง และยังเป็นที่เข้าใจกันว่า ยังคงอยู่และต้องทำนุบำรุงรักษากันต่อไป แต่การที่ไทยเรามีกลุ่มคณะบุคคลที่เอนเอียงไปทางด้านอนุรักษ์และอำนาจนิยมก็เป็นการกระทำการที่สวนทางกับเจตนารมณ์และเป้าหมายอันสูงส่งของราชอาณาจักรไทย ก็หวังว่ากลุ่มอภิสิทธิ์ชนแห่งอำนาจนิยมนี้จะได้หวนคิดและหันกลับมาเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และคืนอำนาจให้กับปวงชนชาวไทย ประชาธิปไตยของไทยก็จะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพของคนแคระอีกต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี