ในแวดวงการเมืองทั้งใน และนอกอเมริกาต่างมั่นใจตรงกันว่า อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ ไม่ว่าอย่างไร ก็จะกลับคืนสังเวียนการเมืองในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปลายปี 2567 อย่างแน่นอน
ทั้งด้วยความมุ่งมั่นของตัว นายโดนัลด์ ทรัมป์ เองรวมทั้งฐานเสียงที่มีอยู่ในแวดวงพรรครีพับลิกันอีกทั้งผู้สนับสนุนที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม (หรือฝ่ายขวาเข้มข้น) ซึ่งหากดูจากตัวเลขการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่แล้ว ตัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะพ่ายแพ้นายโจ ไบเดน แต่ก็ได้คะแนนเสียงไปถึง 70 ล้านคะแนนเสียง (นายโจ ไบเดน ได้คะแนนเสียงประมาณ 80 ล้านคะแนนเสียง) โดย 70 ล้านคะแนนเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นถือเป็นฐานเสียงที่เหนียวแน่น มั่นคงเป็นปึกแผ่น เป็นพวกยึดมั่นถือมั่นกล่าวคือมีท่าทีเป็นพวกขวาตกขอบอย่างไม่ลังเลใจ และไม่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนั้น คะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังสูงอยู่ ส่วนฐานเสียงนั้นก็เห็นได้ว่ายังมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก และในพรรครีพับลิกันเองก็ยังไม่มีผู้ใดที่กล้าหาญชาญชัยพอ ที่จะออกมาประกาศตัวชิงการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเพื่อสู้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ เลยแม้แต่คนเดียว
ส่วนทางด้านของพรรคเดโมแครต ผลงานของประธานาธิบดี โจ ไบเดน นั้นยังไม่เป็นที่ประทับใจมวลชนชาวสหรัฐฯ สักเท่าไหร่ ด้วยบุคลิกภาพดูเชื่องช้า รวมทั้งขาดความเด็ดเดี่ยว การพูดการจาขาดสีสัน ไม่มีความมั่นอกมั่นใจ ทำให้ดูไม่มีความเป็นผู้นำอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้คะแนนนิยมในช่วงปีที่ผ่านมาของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ไม่เคยเกินร้อยละ 50 อีกทั้งยังไม่มีอุดมการณ์ หรือแนวคิดที่ฉมังโดดเด่น ชนิดที่จะเรียกร้องความสนใจและจับจิตจับใจประชาชนพลเมืองได้ ซึ่งก็คงเพราะบุคลิกส่วนตัวที่มีความสุภาพ นุ่มนวล ไม่รุกเร้ารุกราน และพร้อมที่จะพูดจาหารือโอภาปราศรัย ทำให้ภายในพรรคเดโมแครตในช่วงนี้มีการเคลื่อนไหว วิพากษ์วิจารณ์กันว่า ในสมัยหน้า หากจะส่งประธานาธิบดี ไบเดน ไปเป็นคู่ท้าชิงกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อีกรอบ ก็คงจะไม่รอด ควรจะต้องมีการเปลี่ยนตัว
โดยมีข่าวคราวกระเซ็นกระสายออกมาว่าพรรคจะเริ่มด้วยการบีบให้รองประธานาธิบดีนางคามาลา แฮร์รีส ถอนตัวออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองที่มีความโดดเด่น และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับประเทศ และฟากฝ่ายของสังคมต่างๆ ของสหรัฐฯ ให้เข้ามารับหน้าที่แทน เพื่อที่จะได้จ่อขึ้นเป็นผู้สมัครเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคเดโมแครตในสมัยหน้า แทนที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน
บุคคลคนที่อยู่ในโผ ในการสนทนา และปรึกษาหารือ กันในพรรค ก็ได้แก่ นายพีท บุตติเจจ (Pete Buttigieg) นายกเทศมนตรีเมืองเซาท์เบนด์ รัฐอินเดียนาซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตผู้สมัครท้าชิงเป็นตัวแทนสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตมาแล้ว ซึ่ง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เป็นผู้กุมชัยชนะ ได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต รวมทั้งมีชัยชนะเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณของฝ่ายขวาจัด และอนุรักษ์นิยมของแวดวงสังคมอเมริกาซึ่งไม่ชอบคนต่างด้าว ไม่ชอบผู้อพยพลี้ภัยทางการเมืองไม่ชอบผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ (โดยเฉพาะพวกมุสลิม) และไม่ชอบการที่สหรัฐอเมริกาจะต้องเอาอกเอาใจ สนับสนุน หรือประคองมิตรไมตรีกับมิตรประเทศโดยมุ่งดำเนินนโยบายที่เอาความประสงค์ของฝ่ายสหรัฐอเมริกาเป็นที่ตั้ง หรือนัยหนึ่ง “ข้าเอาแต่ใจข้า” พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับประเทศที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์หรือท้าทายสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรง เช่น จีน อีกทั้งพร้อมจะใช้อำนาจรัฐเป็นกำลังสำคัญในการบีบผู้เห็นต่าง ผู้ที่เรียกร้องความทัดเทียม ให้เข้าไปอยู่ในร่องในรอย ในกรอบ ที่ตนได้กำหนดไว้ (เช่น พลเมืองอเมริกันผิวสี เป็นต้น) หรือนัยหนึ่งการรักษาและส่งเสริมความเหนือกว่าของพลเมืองอเมริกันผิวขาว หรือเชื้อสายยุโรป
ซึ่งเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ มีฐานเสียงเป็นคนอเมริกันเช่นนี้ ทางพรรคเดโมแครตก็จะต้องหาตัวบุคคลพร้อมจุดเด่น ประสบการณ์จุดยืน และความคิดความอ่านที่จะเจิดจ้าพอที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเทียบรัศมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้
นายพีท บุตติเจจ นั้นมีการศึกษาดี ได้รับทุน Rhode Scholars ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นทุนที่โดดเด่น และเป็นที่หมายปองของนักศึกษาอเมริกันโดยทั่วไป ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงส่ง และเป็นการสร้างชื่อเสียง และสร้างอนาคตด้วย
นอกจากนั้นแล้ว นายพีท บุตติเจจ ยังมีความโดดเด่นในเรื่องชีวิตคู่ โดยมีคู่สมรสเป็นชาย และดำรงชีวิตอยู่อย่างเปิดเผย แถมยังมีประสบการณ์การทำงานทางด้านธุรกิจ ก่อนเข้าสู่สนามการเมือง ในตำแหน่งนายกเทศมนตรี และก็ได้แสดงฝีมือในระดับหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับได้ในช่วงการหาเสียงท้าชิง เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในตำแหน่งประธานาธิบดี
จึงจัดได้ว่า นายพีท บุตติเจจ มีบุคลิกและวิถีชีวิตที่ต่างและตรงกันข้ามกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนภรรยาถึง3 ครั้ง เป็นนักธุรกิจ และนักพูดที่ร่ำรวยมหาศาล โดยมีวิธีการทำธุรกิจแบบพุ่งชน และการสร้างเครือข่ายคอนเนคชั่น
นายพีท บุตติเจจ ก็คงจะได้คะแนนนิยมจากฝ่ายปีกซ้าย และพวกหัวก้าวหน้าของสังคมอเมริกันอีกทั้งก็จะได้ใจบรรดาชนกลุ่มน้อยต่างๆ ของสังคมอเมริกัน ไปจนถึงกลุ่มเพศทางเลือก (LGBT) และการที่จะดำเนินนโยบายและมาตรการที่จะลดความเห็นต่างและการเผชิญหน้าเอาแพ้เอาชนะกัน เป็นการใฝ่หาจุดร่วมที่ทุกหมู่เหล่า หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพร้อมที่จะรับกันได้ อีกทั้งนายพีท บุตติเจจ ก็อาจจะมีภาษีกว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ในแง่ที่ว่าอายุยังไม่มากนัก จัดได้ว่าเป็นคนร่วมสมัยที่จะสื่อสารกับคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวได้ และมีความเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกและความคิดอ่านของบรรดาชนกลุ่มน้อยทั้งชาติพันธุ์ รสนิยม และวิถีชีวิตต่างๆ
ความต่างระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายพีท บุตติเจจ น่าจะทำให้สนามการเมืองของสหรัฐอเมริกามีสีสัน มีความแน่ชัดในความต่าง เสมือนเป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม หรือพอเหมาะพอเจาะกัน ซึ่งก็จะช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับนายพีท บุตติเจจ โดยปริยาย
ก็ถือได้ว่าเป็นวิสัยทัศน์ และความคิดอันแหลมคมของผู้หลักผู้ใหญ่ และนักคิดนักยุทธศาสตร์ นักวางแผน ของพรรคเดโมแครต ที่จะต้องหาตัวผู้ที่จะขึ้นไปต่อกรกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ชาวโลกจะได้ติดตามกันต่อไป
ซึ่งหากนายพีท บุตติเจจ สามารถชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งหน้านี้ได้ชาวโลกก็คงไม่ต้องทนระทมทุกข์ กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้งหนึ่ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี