เดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวจาก “คนทำงาน” หลายสาขาอาชีพที่ออกมา “เรียกร้องคุณภาพชีวิตที่ดี” หลังพบว่างานที่ตนทำอยู่นั้นมิได้เป็นไปอย่างที่รับรู้ ต้องทำอะไรอีกหลายอย่างนอกเหนือจากหน้าที่หลัก ในขณะที่รายได้เท่าเดิม ซ้ำร้ายชีวิตด้านอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบ ไล่ตั้งแต่กรณีของ “สาวแบงก์” พนักงานธนาคารรายหนึ่ง โพสต์ข้อความระบายความในใจผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ว่าตนเองตัดสินใจ “ลาออก” เพราะนโยบาย “ขายประกัน” มีการกดดันต่างๆ นานาให้ “ทำยอด” จนสุขภาพจิตเสีย
ซึ่งเมื่อเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าว บนพื้นที่ออนไลน์ก็มีผู้ออกมาเปิดเผยเรื่องทำนองเดียวกันและจากธนาคารหลายแห่ง ทำให้สิ่งที่เคยเป็นที่รับรู้ว่ามีอยู่จริงมานาน คือความรู้สึกอึดอัดระหว่างพนักงานแบงก์ที่ต้องขายประกันเพื่อทำยอด กับลูกค้าที่เผชิญกับการถูกทั้งขู่ทั้งปลอบให้ซื้อประกัน ถูกนำขึ้นมาพูดกันอย่างจริงจัง ถึงขนาดที่“แบงก์ชาติ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องออกโรงกำชับธนาคารทุกแห่งไม่ให้มีนโยบายทำนองดังกล่าว
ธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธปท. กล่าวเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2564 ว่า ธปท. กำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) และกำกับดูแลตั้งแต่ปี 2561 “โดยเฉพาะเรื่องการจ่ายค่าตอบแทน ที่ผู้ให้บริการต้องไม่กำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ที่ให้น้ำหนักกับเป้าการขายผลิตภัณฑ์หรือกดดันพนักงาน จนนำไปสู่การเสนอขายที่ขาดคุณภาพและขาดความรับผิดชอบต่อลูกค้า”
รวมทั้งต้องนำข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการบังคับขายมาเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาค่าตอบแทนด้วย นอกจากนี้ หลักเกณฑ์ด้านกระบวนการขาย ยังกำหนดเรื่องการให้ข้อมูลครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน ไม่บิดเบือน และไม่รบกวนลูกค้า รวมทั้งมีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพการขาย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการหลอก บังคับ เอาเปรียบลูกค้า และไม่บังคับขายผลิตภัณฑ์พ่วงเป็นเงื่อนไขในการใช้ผลิตภัณฑ์หลัก
อาชีพต่อมาคือ “ครู” ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “พ่อพิมพ์-แม่พิมพ์” ต้นแบบสร้างเด็กและเยาวชนให้กลายเป็นกำลังของชาติในอนาคต ช่วงกลางเดือน พ.ย. 2564 มีกรณีครูยื่นหนังสือลาออกจากราชการด้วยเหตุผล “งานประเมินเอกสารมีมากเกินไปอีกทั้งหลายเรื่องก็ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน” จนเบียดบังทั้งเวลาที่ครูต้องใช้เตรียมการสอนนักเรียนในชั้นเรียน และเวลาส่วนตัวที่ครูเองก็มีลูกต้องดูแล ส่งผลให้แฮชแท็ก “#ทำไมครูไทยอยากลาออก” ก็ขึ้นเทรนด์แฮชแท็กยอดนิยมบนทวิตเตอร์ พร้อมกับมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้บนพื้นที่ออนไลน์อย่างกว้างขวาง
เรื่องของงาน “ประเมิน-ประกัน-ประกวด” รบกวนเวลาที่ครูจะได้สอนนักเรียน รวมถึงหน้าที่อื่นที่ต่อเนื่องกันคือการออกเยี่ยมบ้าน พูดคุยทำความเข้าใจและทำงานร่วมกันระหว่างครูกับผู้ปกครองนักเรียน ถูกพูดถึงกันมาหลายปี อาทิ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) หรือที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เคยแถลงผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างครูรวม 427 คนจากทั่วประเทศและจากโรงเรียนทุกขนาด (ใหญ่ กลาง เล็ก) ระหว่างวันที่ 15 ก.ย.-15 ต.ค. 2557
กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นครูอาวุโส วิทยฐานะส่วนใหญ่อยู่ในระดับ คศ.3-คศ.4 อายุงานเฉลี่ย20-25 ปี รวมทั้งได้รางวัล “ครูสอนดี” จากการเสนอชื่อโดยชุมชนในพื้นที่ตั้งของโรงเรียน ซึ่งผลสำรวจครั้งนั้นพบว่า “ใน 1 ปีการศึกษาจะมีเวลาเปิดเทอมประมาณ 200 วัน แต่ในจำนวนนี้หายไปแล้ว 84 วันจากกิจกรรมอื่นๆ นอกชั้นเรียน และการประเมินเป็นกิจกรรมที่เบียดบังเวลาสอนมากที่สุด โดยใช้ไปถึง 43 วัน” แม้แต่ในช่วงปิดภาคเรียนที่นักเรียนหยุด ครูก็ยังต้องเหนื่อยกับงานประเมิน แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมีระเบียบกำหนดไว้
แม้แต่ “หมอ” อาชีพที่ว่ากันว่าเป็นงานของคนระดับ “หัวกะทิ” เพราะผู้ที่เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ได้ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ต้องจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เกรดเฉลี่ยทุกเทอมใกล้เคียงระดับสูงสุดคือ 4.00 เท่านั้นยังไม่พอต้องกวดวิชาอีกเพื่อเพิ่มโอกาสผ่านคัดเลือกในการสอบแข่งขัน แต่เมื่อออกไปเจอสภาพการทำงานจริงก็ถอดใจลาออกไปประกอบอาชีพอื่นก็มีไม่น้อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในภาพรวม
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความ “ความชอกช้ำของแพทย์ใช้ทุนโรงพยาบาลชุมชน” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2564 เล่าปัญหาของแพทย์จบใหม่ที่นำไปสู่การลาออกหลังใช้ทุนครบ ซึ่งมีทั้งปัจจัยด้าน “งาน” อาทิ บางคนต้องเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไปด้วย หรือบางคนต้องรับผิดชอบดูแลการสรุปเวชระเบียน (Audit Chart) บางวันต้องออกไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วย หรือประชุมแผนงานการดูแลผู้ป่วยของแต่ละโรค (Service Plan) เป็นต้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่างานบางอย่างไม่ได้เป็นการตรวจหรือดูแลผู้ป่วย แต่เป็นจากนโยบายที่ทำให้เกิดงานเหล่านี้แพทย์ใช้ทุนหนึ่งคนที่เพิ่งจบมาต้องมาเผชิญงานหนัก และงานที่ทำบางส่วนโรงเรียนแพทย์ไม่ได้สอนความรู้เหล่านี้เอาไว้ และปัจจัยด้าน “คน” ที่แพทย์จบใหม่ต้องเผชิญกับการเอารัดเอาเปรียบจากแพทย์อาวุโส (Staff) อาทิ การบังคับซื้อเวรให้อยู่เวรแทนตนเองเพื่อตนเองจะไปอยู่คลินิกอื่นนอกโรงพยาบาล การจำกัดจำนวนคนไข้ในการตรวจวันละไม่กี่คนเพื่อนำเวลาราชการไปตรวจคลินิกอื่นนอกโรงพยาบาล
การเลือกคนไข้ในการตรวจ การให้ทำงานวันหยุดให้โดยไม่มีค่าตอบแทน หรือแม้แต่แพทย์อาวุโสบางท่าน มีชื่ออยู่ในโรงพยาบาลเพื่อใช้สิทธิ์สวัสดิการต่างๆ แต่ไม่เคยมาทำงานตรวจคนไข้ หรือให้บังคับให้แพทย์ใช้ทุน ทำงานโดยที่ไม่อยากทำ ไปจนถึงการที่แพทย์อาวุโสที่เป็นแพทย์เฉพาะทาง (Specialists) รับปรึกษาและตอบคำปรึกษา ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ด่าทอ ทำให้แพทย์จบใหม่มองว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทั้ง 3 อาชีพข้างต้นเป็นเรื่องราวที่ปรากฏเป็นข่าวในเดือน พ.ย. 2564 เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ซึ่ง“ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่า เพราะไม่ว่าจะอาชีพไหน-ภาคส่วนใด ล้วนต้องการสมดุลระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัว (Work-Life Balance) และเป็นงานที่มีคุณค่า (Decent Work) ซึ่งนอกจากรายได้ดีและมั่นคง ยังต้องเป็นงานที่ทำแล้วรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม อีกทั้งสภาพการทำงานต้องเป็นธรรม และหลายคนพร้อมจะลาออกหากสภาพการทำงานจริงไม่เป็นไปตามนั้น แต่การลาออกนั้นก็อาจกระทบต่อส่วนรวมอีก หากเป็นงานที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมแต่ขาดแคลนกำลังคน จึงเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนต้องหาแนวทางปรับปรุง
ยังไม่รวม “งานยุคดิจิทัล” อย่างบรรดา“ไรเดอร์” รับ-ส่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่น ที่สะท้อนปัญหา “ค่ารอบ” ซึ่งส่งผลต่อการต้อง “ซิ่ง” เพื่อทำรอบให้มีรายได้เพียงพอแต่ละวัน จน “เสี่ยง” เกิดอุบัติเหตุเป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ จึงเรียกร้องให้ปรับปรุงค่ารอบให้เป็นธรรมมากขึ้น ดังที่เห็นเป็นข่าวในช่วง 1-2 ปีล่าสุด!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี