การปฏิวัติรัฐประหารโดยฝ่ายกองทัพพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อยึดอำนาจ และล้มเลิกการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกจากจะสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวพม่า ทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพและวิถีชีวิตที่สงบเรียบง่ายแล้ว ยังได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นปึกแผ่นและก้าวหน้าของประชาคมอาเซียน ที่พม่าเป็นสมาชิกอยู่ด้วยอย่างมาก
สังคมโลกต่างก็ฝากความหวังในการแก้วิกฤตพม่าเพื่อนำพม่ากลับสู่สังคมประชาธิปไตย และความสงบเรียบร้อยไว้กับประชาคมอาเซียน เพราะเขาเห็นว่าเรื่องพม่านี้เป็นเรื่องภายในของประชาคมอาเซียน หรือครอบครัวอาเซียน ที่เมื่อมีประเด็นปัญหาก็สมควรต้องแก้ไขกันเองเป็นสำคัญ โดยประชาคมโลกก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินการต่างๆ ของประชาคมอาเซียน
แต่ทว่าเหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาถึง 11 เดือนแล้ว ประชาคมอาเซียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแก้ไขวิกฤตพม่าอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน และจริงจังได้อย่างไร แถมยังจะดูมีความคิดเห็นต่างกันในหมู่ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน และยิ่งมีความแตกแยกกันมากยิ่งขึ้นเสียด้วย ซึ่งก็หมายความว่า ประชาคมอาเซียนคงจะแก้ไขสถานการณ์วิกฤตในพม่าไม่ได้ตามความคาดหวังของชาวโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือ ประชาคมอาเซียนได้ตกลงกันที่จะให้ฝ่ายกองทัพพม่ายุติการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร การร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมต่อชาวพม่า และการร่วมกันเปิดเวทีเจรจาระหว่างคู่กรณีต่างๆ ของพม่า เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่พม่า อีกทั้งเพื่อเป็นการแสดงว่าจะไม่ให้การรับรองความเป็นรัฐบาลของฝ่ายกองทัพพม่า และได้ปฏิเสธการเข้ามามีส่วนร่วมของฝ่ายกองทัพพม่าในการเป็นตัวแทนของพม่าในการประชุมต่างๆ ของอาเซียน ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายกองทัพพม่าปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว
แต่แล้ว เมื่อ 11 เดือนผ่านพ้นไป ฝ่ายกองทัพพม่าก็ยังมิมีท่าทีโอนอ่อนใดๆ แถมกลับยังดำเนินการปฏิบัติการปราบปรามและกวาดล้างผู้ต่อต้านอย่างไม่ลดละไปทั่วประเทศ แล้วก็ยังไม่ปลดปล่อยผู้ถูกจับกุมเป็นจำนวนหลายพันคน และยังตามล้างตามเช็ดนางออง ซาน ซู จีอดีตผู้นำฝ่ายประชาธิปไตย ด้วยการตั้งข้อหาที่มีจุดประสงค์ทางการเมืองเป็นต้นเหตุ และนำตัวขึ้นศาลที่ไม่มีความเป็นอิสระ
สังคมโลกเองก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรแบบเฉพาะตัวบุคคล หรือเฉพาะเรื่อง ทั้งโดยอาเซียนและประชาคมโลกเอง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ภายในระดับผู้นำอาเซียนเองเริ่มมีการแตกแถว โดยเฉพาะในตัวสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้ดำรงตำแหน่งประธานประชาคมอาเซียนช่วงปี 2565 นี้ ที่เริ่มดำเนินการที่สวนทางกับท่าทีและเสียงส่วนใหญ่ของประชาคมอาเซียน และแถมยังออกมาปกป้องฝ่ายกองทัพพม่าอีกด้วย ดังเช่นการให้การต้อนรับรัฐมนตรีต่างประเทศของกองทัพพม่า ในการเยือนกรุงพนมเปญ และยังกำหนดการไปเยือนกรุงเนปิดอว์ ของสมเด็จฮุนเซน ในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2565 ซึ่งมีนัยของการให้การรับรองรัฐบาลของกองทัพพม่าอย่างเป็นทางการของกัมพูชา ในขณะที่ สมเด็จฮุนเซน ดำรงประธานประชาคมอาเซียนอยู่ด้วย ก็จะเป็นการนำเอาประชาคมอาเซียน ไปสู่การรับรองและให้ความชอบธรรมต่อฝ่ายกองทัพพม่าโดยปริยาย ซึ่งเป็นการดำเนินการแบบพลการ ไม่เห็นแก่หน้าผู้นำอาเซียนอื่นๆ อีกทั้งสมเด็จฮุนเซน ได้ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ประชาคมอาเซียนไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธหรือกันฝ่ายกองทัพพม่าไม่ให้เข้าร่วมในการประชุมใดๆ ของอาเซียน โดยกล่าวว่า การเข้าร่วมหรือไม่ เป็นสิทธิเท่านั้นของฝ่ายพม่าโดยฝ่ายกองทัพนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็มีนัยลึกซึ้งที่บ่งบอกว่าสมเด็จฮุนเซนกำลังใช้ตำแหน่งประธานอาเซียน ที่จะเอาความคิดอ่านของตนเองเป็นใหญ่และพร้อมที่จะร่วมหัวจมท้ายกับฝ่ายกองทัพพม่า ซึ่งต่างเป็นเผด็จการด้วยกัน และเท่ากับว่าสมเด็จฮุนเซนไม่ใส่ใจกับการสูญเสียสิทธิเสรีภาพและการอยู่ในสังคมประชาธิปไตยของชาวพม่า และพร้อมที่จะรับมือกับความแตกต่างในความคิดและความแตกแยกภายในประชาคมอาเซียนอย่างไม่มีความเสียดายใดๆ ก็เท่ากับว่าสมเด็จฮุนเซน พร้อมที่จะสละอาเซียนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ
ถึงจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ว่า จะว่าอย่างไร กล่าวคือจะปล่อยให้สมเด็จฮุนเซน ว่าไปตามอำเภอใจ หรือจะร่วมกันเผชิญหน้ากับสมเด็จฮุนเซน เพื่อให้ประชาคมอาเซียนหันกลับสู่ครรลองที่อันควร ซึ่งภาระนี้ก็คงไม่พ้นจากความรับผิดชอบของประเทศสมาชิกดั้งเดิมผู้ก่อตั้งอาเซียน คืออินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทย ซึ่งในกลุ่มนี้อินโดนีเซียก็ถือว่าเป็นแกนนำหลัก ทั้งนี้เพราะอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเนื้อที่และประชากรมากที่สุด และเป็นสังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าที่สุด อาเซียนจะปล่อยให้พวกเผด็จการนิยมในอาเซียนนำพาอาเซียน หรือจะต้านทานและหวนกลับไปยึดกับเจตนารมณ์และสาระเนื้อหาของกฎบัตรอาเซียน และหลักคิดหลักปรัชญาที่เอาตัวผู้คนเป็นใหญ่เป็นที่ตั้งมากกว่าอารมณ์ชั่ววูบชั่วคราวของบรรดาผู้นำ หรือจะปล่อยให้รอยร้าวนี้คงอยู่ต่อไป แล้วก็ประคับประคองกันไปแบบเรือที่ผุรั่วและโคลงเคลง และบรรดาผู้โดยสารก็ตกอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญหายและไร้อนาคต
สำหรับไทยเราก็มีประวัติของการเล่นบทบาทผู้นำในอาเซียนมาโดยตลอด แต่ก็น่าเสียดายที่การเรียกร้องของมิตรสหายทั้งในและนอกอาเซียน ไปจนถึงแวดวงสื่อ วิชาการ และภาคประชาสังคม ที่ประสงค์ให้ประเทศไทยมีความห่วงใยต่อเพื่อนชาวพม่า ก็ดูยังไม่เป็นที่สมหวัง ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลไทยชุดนี้จะได้มีการทบทวนเรื่องราวปรับเปลี่ยนกระบวนยุทธ นำพาอาเซียนและมีบทบาทนำในการแก้ไขวิกฤตพม่า ซึ่งไม่เกินสติปัญญา และฝีไม้ลายมือ และประสบการณ์ทางการทูตที่ไทยได้มีมาอย่างโดดเด่นยาวนาน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี