เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2564 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรตีความวาระในการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2562 ที่เป็นวันโปรดเกล้าฯ และสิ้นสุดในปี 2570 นั้น พล.อ.ประวิตร พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ยาวจนถึงปี 2570 หรือไม่
พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั่วไป ก็แล้วแต่ว่าร่างกายผมจะไหวหรือเปล่า”
วิเคราะห์ : โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบคำตอบสั้นๆ แต่ชัดเจนครั้งนี้ยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวหลายครั้ง เรื่อง 3 ป. ไม่มีวันแตกกัน จะแยกจากกันก็เมื่อ “ความตายมาพราก” ไปจากกันเท่านั้น
แต่ผู้คนก็ไม่เชื่อ เพราะคนส่วนมากไม่เชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัส จะเคลื่อนไหวรวมเสียงเพื่อ “ล้ม พล.อ.ประยุทธ์” ได้ตามลำพังตน ต้องมี “ไฟเขียว” ให้ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้น
แต่คำตอบครั้งนี้ชัดมาก ว่าขึ้นอยู่กับ 2 เงื่อนไข คือ สถานการณ์ กับ สังขาร
1) สถานการณ์ในปี 2565 มีด่านให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องฝ่ามากมาย อาทิ โอมิครอน จะสร้างผลกระทบ ทั้งทางการแพทย์ทางเศรษฐกิจ และทางสังคมมากแค่ไหน, การเปิดอภิปรายเป็นการทั่วไปโดยไม่ลงมติของฝ่ายค้าน ใช่ครับ, แม้จะไม่มีการลงมติ แต่ระหว่างการอภิปรายโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ ใครจะลุกขึ้นปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ในห้วงสถานการณ์ และจะกลายเป็น “แผลอักเสบ” ของพล.อ.ประยุทธ์ จนถึงขั้น “ติดเชื้อ” แล้วไปต่อทางการเมืองลำบากหรือไม่
ถัดมาก็เป็นเรื่อง อายุการเป็นนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปี เมื่อไหร่ซึ่งฝ่ายค้านประกาศชัดแล้วว่า จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่ ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ให้ดูย้อนหลังไปว่า อะไรที่เป็นเรื่องทางกฎหมาย โค่น พล.อ.ประยุทธ์ ยากมาก ตั้งแต่เรื่อง “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” เรื่อง “การถวายสัตย์ปฏิญาณ” เรื่องการอยู่อาศัยในบ้านพักทหาร เป็นต้น ยิ่งหากเป็นเรื่องที่ต้อง “ตีความ” ด้วยแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะระคายผิว พล.อ.ประยุทธ์
ที่เหลือ 2 สถานการณ์ใหญ่ๆ คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ กับเรื่อง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งต้องอาศัย “มติ” ของที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก ถึงเวลานั้น อะไรจะเป็นหลักประกันว่า จะไม่มีปฏิบัติการ “ล้มประยุทธ์” หรือไม่มีการต่อรองใดๆ เกิดขึ้นอีก
ส่วนเรื่อง “สังขาร” ชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร อายุมากแล้ว สุขภาพก็ใช่ว่าจะดี ท่านคงเป็นคนเข้าใจ “สัจธรรม” ท่านจึงพูดถึง “ความจริง” ในข้อนี้ด้วย ผู้ฟังจึงแจ่มแจ้งมากว่า มันไม่แน่นอนหรอกว่าท่านจะอยู่ประคอง พล.อ.ประยุทธ์ ไปได้นานแค่ไหน
2) สังขาร เป็นเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.ประวิตร แต่สถานการณ์นี่สิ ขึ้นอยู่กับหลายคน หลายฝ่าย คนสำคัญคนหนึ่งก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
1 มกราคม 2565 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวเปิดใจถึงการทำงานการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งเจอปัญหาหลายอย่างทำให้เกิดการท้อแท้บ้างหรือไม่ และอะไรที่ทำให้เข้มแข็งต่อไป ว่า
ชีวิตตนไม่เคยท้อ ปัญหาเจอมามากมาย แต่ไม่ท้อบางครั้งรู้สึกว่าอุตส่าห์ทำดีเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนแล้วทำไมเกิดปัญหาในแต่ละเรื่อง ไม่ได้ท้อ แต่รู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้นมากกว่า ก็ต้องปรับปรุงตัวเอง
ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า การเป็นนักการเมืองบางครั้งตรงมากเกินไปก็เป็นภัยกับตัวเอง การพูดตรงไปตรงมาภาษานักเลง บางทีก็เป็นภัยกับตัวเอง แต่เราเปลี่ยนคาแร็กเตอร์ตัวเองไม่ได้ เพราะเป็นคนแบบนี้ แต่จะพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนที่เห็นต่าง ซึ่งคนเห็นต่างก็ต้องเข้าใจว่าเราทำอะไรเพื่อบ้านเมืองไม่ใช่ทำเพื่อตัวเองไม่แสวงหาประโยชน์บนงบประมาณของแผ่นดิน ตนเป็นรัฐมนตรีมา 3 ปี งบประมาณแผ่นดินแม้แต่สลึงเดียวไม่เคยแตะ ไม่เคยเอาเข้ากระเป๋า เอาลงสู่ประชาชนทั้งหมด
“ยอมรับว่าก่อนที่จะมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เราคือเพื่อไทย และต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ซึ่งพูดไม่ได้ เมื่อมาแล้วก็ไม่ได้ต้องการสมัครสส. แต่ต้องการอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนดูแล 17 จังหวัดภาคเหนือ เช่น เขต 1 พะเยา เดิมตั้งใจที่จะให้น้องชายที่เป็นนายก อบจ.ลงสมัคร แต่ไม่กี่วันก่อนจะถึงวันสมัคร เขาเกิดไม่สบายหนัก ผมถึงต้องเป็นตัวจริงออกมาเล่นเอง ทั้งที่รู้อนาคตตัวเองดีว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ผมไม่มีทางเลือก และเมื่อเลือกเดินทางนี้แล้วก็ต้องสู้ ต้องกล้าเผชิญหน้า” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
3) ก่อนหน้านี้ เมื่อ 29 ธันวาคม 2564 ร.อ.ธรรมนัส ก็ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศของพรรคในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงทิศทางการทำงานของพรรคในปี 2565 ว่า
นโยบายของพรรคที่เคยหาเสียงไว้เมื่อปี 2562 หากถามว่าเป็นนโยบายขายฝันหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่นโยบายขายฝัน เป็นนโยบายที่ประชาชนสามารถจับต้องได้ โดยเฉพาะนโยบายในเรื่องของสปก.ซึ่งตนกำกับดูแลเองในขณะดำรงตำแหน่งรมช.เกษตรฯ การออกประกาศ 2 ฉบับ ว่าด้วยกิจการสนับสนุนและกิจการต่อเนื่องทำให้แก้ปัญหาการใช้ที่ดินของรัฐในรูปแบบของเขตปฏิรูปที่ดินตามที่พรรคได้หาเสียงไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนในเรื่องของนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็เป็นนโยบายที่เริ่มชินกับวิถีชีวิตของคนไทย เราต้องการทำในเรื่องของการนำประเทศเข้าสู่รัฐสวัสดิการ เพราะคนไทยทุกคนต้องมีสวัสดิการ แต่สวัสดิการจะไม่เหมือนกันในกลุ่มคนแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ หรือคนทั่วไป ทั้งหมดจะได้รับสวัสดิการอย่างไร นี่คือนโยบายที่เราเขียนเอาไว้ เราเอาเฉพาะกลุ่มที่สังคมต้องดูแลเป็นพิเศษ ทั้งเด็กแรกเกิด คนชรา คนพิการ หรือผู้มีรายได้น้อย ดังนั้นในรอบปีที่ผ่านมานโยบายของพรรคดีอยู่แล้ว
“ที่ผ่านมาผมคุยกับทูตหลายประเทศ ส่วนใหญ่เขาจะถามว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างไร เราก็อธิบายตามความเป็นจริงว่าพรรคนั้นดีอยู่แล้ว แต่ภาพที่เห็นว่าทำไมพรรคเกิดความแตกแยกมาโดยตลอดไม่รู้จักจบ มันเป็นเรื่องของหัวหน้ากลุ่มแต่ละกลุ่มมากกว่า
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้ รวมถึงผู้ที่เคยสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ และกำลังจะสมัครในนามพรรค ต่างมีความสมัครสมานสามัคคีกัน เดินไปในทิศทางเดียวกัน ตามที่หัวหน้าพรรคกำหนดให้เดิน แต่กลุ่มในพรรคถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของทุกพรรคอยู่แล้วที่จะเกิดความขัดแย้งกัน เกิดปัญหาความไม่ลงตัวกันในสิ่งที่แต่ละกลุ่มต้องการซึ่งหมายถึงหัวหน้ากลุ่ม หรือไม่ก็เป็นเรื่องนโยบายที่ไปรับฟังมาผิดๆ ถูกๆ ก็นำมามีปัญหากันในพรรค ซึ่งเป็นเรื่องปกติของพรรคการเมือง
พรรคเราเป็นพรรคใหญ่ เหมือนคนในครอบครัว พี่น้องทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่ทะเลาะแล้วควรจะให้คนภายนอกรู้หรือไม่ หลายพรรคก็มีความขัดแย้งภายใน แต่เขาไม่ได้นำออกมาให้ภายนอกรับรู้ แต่พรรคเราเป็นพรรคที่แต่ละคนต่างมีสื่อในมือเยอะ มีข่าวอะไรหน่อยก็เป็นข่าว นี่คือปัญหาของพรรคพลังประชารัฐ แต่สำหรับผมจะเน้นเดินหน้าหาสมาชิก หาตัวแทนเขต หาว่าที่ผู้สมัคร ซึ่งส่วนใหญ่ความนิยม ความมั่นใจในตัวผู้นำคือหัวหน้าพรรคและตัวผู้นำหลายๆคนรวมถึงตัวผมด้วย ผมมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐยังขายได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคพลังประชารัฐ จะสามารถเป็นสถาบันการเมือง ในอนาคตได้หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมมีความเชื่อมั่นในผู้นำของผม นั่นคือหัวหน้าพรรค”
“หัวหน้าพรรคมักจะพูดเสมอว่า เรื่องภายในพรรค หรือเรื่องการเมืองภายในพรรคเป็นเรื่องที่หัวหน้าพรรคจะจัดการเอง ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของนายกฯ
สำหรับในพรรค ตั้งแต่ผมเป็นเลขาธิการพรรคมา ทำงานตลอดไม่เคยมีวันหยุด ผมเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ ที่มอบหมายงานให้หลายคนดูแล ทั้งบนดิน และใต้ดิน ผมเชื่อมั่นว่าพรรคพลังประชารัฐจะกลายเป็นสถาบันการเมืองที่มีความเข้มแข็ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของพรรคพปชร.อย่างไร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า จุดแข็งของเราคือ สส.ของพรรคและว่าที่ผู้สมัคร มีความมั่นใจในตัวหัวหน้าพรรค เพราะหัวหน้าพรรคไม่เคยทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ เรื่องที่ตอบว่าไม่รู้ๆ นั้น ท่านรู้หมด ขึ้นอยู่ที่ว่าจะตอบหรือไม่ตอบ และรู้จักใช้คนทำงาน
ส่วนตนกับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค มีหน้าที่ดูภาพรวม ทำหน้าที่ไปลุยพื้นที่ เหมือนไปตีเมืองขึ้น จากนั้นจะมีคนมาดูแลหรืออาจจะตั้งให้คนในพื้นที่นั้นๆ มาดูต่อ เราไม่ได้ดูแลทั้งประเทศ แต่ดูภาพรวมในฐานะเลขาฯ เดินทางไปแต่ละจังหวัดและเปิดตัวไม่ใช่ว่าตนต้องดูทั่วประเทศอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ ตนไปอีสานเสร็จแล้วก็หาตัวแทนดูแล และหัวหน้าพรรคก็จะจัดคนมาดูแลอีกที
อย่าง กทม.ได้จัดเข้าสู่ระบบแล้วก็ได้ส่งต่อคนรุ่นใหม่ ซึ่งหัวหน้าได้ให้คนมาดูแลแล้ว ทั้งนี้ แล้วแต่หัวหน้าจะจัดใครมาดูแล ไม่ใช่ตนต้องดูแลทั่วประเทศทีเดียวมันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ทศกัณฐ์
เมื่อถามย้ำว่า จุดอ่อนของพรรคเป็นอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ยอมรับว่าภาพที่สะท้อนให้สังคมได้เห็นคือภาพของความแตกแยก เราต้องแก้ให้ได้ว่า ถ้าเห็นต่างกันก็ควรจะจบในพรรค
ไม่ต้องให้สื่อไปนำเสนอว่าแตกแยกกันจริงๆ
เช่น การประชุมบริหารพรรคเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา เรายิ้มแย้มกันทุกคนไม่ได้มีความขัดแย้งอะไร นี่คือภาพจริงที่เกิดขึ้นแต่บางครั้งอาจจะเป็นลูกน้อง เช่น ลูกน้องตนเอาข่าวไปเสนอทำให้เกิดความเสียหาย ลูกน้องของคนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ที่รักลูกพี่มากเกินไปนำไปเสนอ ทำให้เกิดผลเสียกับภาพลักษณ์ของพรรค จึงเป็นจุดอ่อนของพรรค
“ความจริงเฉพาะสส.ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่าอยู่ที่หัวหน้ากลุ่มแต่ละกลุ่มมากกว่า และทุกครั้งที่สงบได้เพราะท้ายที่สุดแล้ว พล.อ.ประวิตร มานั่งหัวโต๊ะก็ทำให้จบ พวกเราพยายามคุยกันนอกรอบ ในเรื่องความแตกแยก เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์พรรคเสียไปมากกว่านี้ และผมพร้อมคุยกับทุกกลุ่มและก็ได้คุยกับทุกกลุ่มอยู่แล้ว”
4) จะเห็นว่า สัมพันธภาพระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ ร.อ.ธรรมนัส นั้น ดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่กับ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ร.อ.ธรรมนัสอ้างอิงหลักการของ “ลุงป้อม” แต่เพียงสั้นๆ ว่า “เรื่องภายในพรรค หรือเรื่องการเมืองภายในพรรคเป็นเรื่องที่หัวหน้าพรรคจะจัดการเอง ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของนายกฯ”
ในโลกของความเป็นจริง จะต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนได้อย่างที่พูดจริงหรือ
เพราะเห็นได้ชัดว่า ในพรรคก็มีการเมือง “สาย พล.อ.ประยุทธ์”
และนักการเมืองสาย ประยุทธ์ ก็เอาการเมืองในพรรคออกมานอกพรรคด้วย
ใช่, พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานในคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องมีอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ชื่อ ร.อ.ธรรมนัส ได้แต่เรื่องที่ท่านต้องอาศัยมือในสภาช่วยโหวต ท่านจะลอยตัวอยู่ เสมือนว่าไม่มี ร.อ.ธรรมนัส ได้นานแค่ไหน
จึงอาจกล่าวได้ว่า พลังของประยุทธ์ มีพลังประชารัฐ และพลังธรรมนัสบวกพลังประวิตรเป็น “พาวเวอร์แบงก์” แรงหนุนจากส่วนนี้หมดเมื่อไหร่ รัฐนาวา พล.อ.ประยุทธ์ ก็จบ
คำถามก็คือ พล.อ.ประวิตร จะอดทนเป็น “คนกลาง” ระหว่างคู่ขัดแย้ง คือ นายกฯ กับเลขาธิการพรรค ได้อีกกี่น้ำ, พล.อ.ประวิตร จะกุมสภาพ “หลายมุ้งในพรรค” ได้อีกนานไหม, บิ๊กตู่จะอดทนกับการยังมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นใหญ่ในพลังประชารัฐนานเพียงใด และพลังประชารัฐ ภายใต้อิทธิพลของ ร.อ.ธรรมนัส จะหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ตราบนานเท่านานจริงหรือ?
จับตาดูการเมืองครึ่งปีแรกของปี 2565 ให้ดีๆ
• เลือกตั้งซ่อมสงขลา, ชุมพร และหลักสี่ พลังประชารัฐจะชนะหรือไม่ หากไม่ชนะ จะโทษว่ากระแส พล.อ.ประยุทธ์ ตกต่ำแล้วหรือเปล่าเพราะจับอาการของ “ติ่งลุงตู่” เวลานี้ รีบตีกันไว้แล้วว่า ถ้าแพ้ อย่ามาบอกว่ากระแสลุงตู่ตกโดยเด็ดขาด พรรคพลังประชารัฐต่างหาก ที่ดูแย่
• พลังประชารัฐ (ที่ไม่ใช่สายลุงตู่) จะปกป้องลุงตู่แค่ไหน เมื่อฝ่ายค้านเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ
• พล.อ.ประยุทธ์จะปรับ ครม. ไหม
• หากโอมิครอนไม่ร้ายแรง และเศรษฐกิจเริ่มกระดกหัวขึ้นได้ จะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งในเวลาที่กระแสดี หรือจะอยู่ยาวแล้วไปเจอการอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการออก พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งเสียงในสภา “กุมชะตาลุงตู่” และไม่รู้ว่าจะจบลงแบบไหน
เราไม่รู้หรอก ว่าด้วยหลักอนิจจัง สังขารลุงป้อมจะทนได้นานเพียงใด
แต่ในทาง “สถานการณ์” นี่สิ พล.อ.ประยุทธ์ จะบริหารจัดการมันอย่างไร ให้ “เป็นคุณ” แทน “เป็นภัย” กับตัวเอง
ถึงที่สุด ลุงตู่จะอยู่พรรคเดิม หรือจะหา “แบตเตอรี่สำรอง” ใหม่
วันนี้ยังตอบไม่ได้ แต่อีกไม่นานก็น่าจะเห็นคำตอบ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี