ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์สำคัญๆ หลายเรื่อง และในแวดวงวิชาการ สื่อ และการเมือง ได้จัดอันดับเรื่องดังต่อไปนี้ว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญของโลก ได้แก่
1.โรคระบาดโควิด-19
2.สภาวะโลกร้อน และการประชุม COP 26
3.ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา นายโจ ไบเดน และทิศทางของสหรัฐอเมริกา
4.การพ่ายแพ้ของฝ่ายตะวันตกที่นำโดย สหรัฐอเมริกา ต่อฝ่ายตาลิบันในอัฟกานิสถาน
5.สงครามกลางเมืองในซีเรีย ลิเบีย เยเมน เอธิโอเปีย และพม่า
6.การตีกลองรบของรัสเซียที่พรมแดนรัสเซีย-ยูเครน
7.เวทีภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก และการต่อกรระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
8.ปัญหาการเพิ่มและแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์
9.ชาติพันธุ์นิยมและความสุดโต่งทางด้านศาสนา
10.อนาคตขององค์กรความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป และอาเซียน
11.คุณค่าของระบบทุนนิยมและความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น
และในปี 2565 นี้ ก็เป็นที่คาดหมายกันว่า เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ดังกล่าวในปี 2564 จะมีความต่อเนื่องเข้ามาในปี 2565 เสมือนเป็นการรับลูกต่อเนื่องกันไปซึ่งหากไม่มีวิธีการหาทางแก้ไข หรือลดระดับความตึงเครียดในระหว่างประชาคมโลกด้วยกัน คงจะมีความคุกรุ่น เข้มข้นมากยิ่งขึ้นการนี้ก็จะขึ้นอยู่กับประเทศหลักๆ ของโลกเป็นสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกาจีน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส (ซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีทางด้านการทหาร) ว่าจะหาจุดร่วม สงวนจุดต่างกันได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกฝ่ายต่างก็ตระหนักกันว่า การปะทะที่ทวีปยุโรปตรงพรมแดนรัสเซียและยูเครน หรือการปะทะกันที่ช่องแคบไต้หวัน ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่ กับจีนเกาะไต้หวัน ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนและคุ้มครองอยู่นั้น หรือการดำเนินการของเกาหลีเหนือต่อเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา หรือของอิสราเอลต่ออิหร่านนั้น มีโอกาสที่จะลุกลามแผ่ขยายไปเป็นการสู้รบใหญ่โต ที่อาจจะมีอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งในที่สุดก็คงจะไม่มีฝ่ายผู้แพ้ผู้ชนะอย่างเด็ดขาด เพราะจะมีการสูญเสียกันอย่างถ้วนหน้า และมีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติในโลกกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในการนี้บรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ก็คงต้องตระหนักด้วยว่า มาตรการฝ่ายเดียว หรือการเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้ง อาจจะสามารถกระทำการได้ในระดับหนึ่ง และภายในระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะเผชิญกับการต่อต้านจากฝ่ายอื่นๆ เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้นคงไม่มีใครยอมใครกันง่ายๆ
ประเทศใหญ่ประเทศหนึ่งอาจจะมีความสามารถในการคุกคามประเทศเล็กหนึ่งได้ไม่ยาก แต่อย่าลืมว่าในโลกยุคปัจจุบันนี้ ไม่มีประเทศใดอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะต่างใฝ่หาพันธมิตรเพื่อร่วมมือช่วยเหลือ ดังในกรณีออสเตรเลียที่ถูกจีนคุกคามก็ได้หันไปร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ ทั้งในกรอบ 2 ฝ่าย (ออสเตรเลีย, สหรัฐฯ), กรอบ 4 ฝ่าย (ออสเตรเลีย, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, อินเดีย) และกรอบ 3 ฝ่าย (ออสเตรเลีย, สหรัฐฯ และอังกฤษ) ก็เป็นเสมือนหลักหยินหยาง ซึ่งการเผชิญหน้า หรือการเป็นคู่อรินั้น ก็รังจะมีแต่ความเสียหายร่วมกันจึงเป็นที่หวังว่าในปี 2565 นี้ บรรดาผู้นำของประเทศหลักๆ ของโลกจะได้มีสติใฝ่หาจุดร่วม ผ่อนคลายเรื่องขัดแย้ง ยกเลิกความทะเยอทะยาน มุ่งสร้างสันติภาพ และความเจริญก้าวหน้าร่วมกันมนุษย์เป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ก็ต่างหวังกันว่า ในปี 2565 มวลมนุษยชาติจะร่วมกันสร้างโลกกันได้
สำหรับไทยเราเองนั้น จุดเริ่มต้นที่จะระงับความขัดแย้งทางการเมืองอันยาวนาน ก็คือการหันมาเปิดเวทีกลางเพื่อพูดจากันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เพราะในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา เราต่างดำรงชีวิตไปคนละฝั่งฟาก โดยไม่สนใจจะรับฟังฝ่ายที่คิดเห็นต่างออกไป ซึ่งเพิ่มเติมความเป็นอริต่อกันไปเรื่อยๆ
ก็คงน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่ทุกฝ่ายจะได้หันหน้าเข้าหากัน มาเจรจากัน ละวางความขัดแย้งทางความคิด-อุดมการณ์ และร่วมมือกัน เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้ากันเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี