“รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม” คำขวัญวันเด็กประจำปี 2565 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมทุกปีที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องให้คำขวัญวันเด็ก เป็นการให้ความสำคัญกับเด็กในฐานะ “อนาคตของชาติ” ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันประคับประคองให้เติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ “เก่ง-ดี-มีความสุข” แต่ก่อนหน้านั้น “อัตราการเกิดที่ลดลงต่อเนื่อง” ซึ่งส่งผลต่อจำนวนประชากรเด็กอันเป็นผู้ต้องมารับช่วงต่อดูแลประเทศ เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องตระหนัก
ย้อนไปช่วงปลายปี 2564 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “หน้าตาประชากรไทยในอนาคต” โดยมีวิทยากร 2 ท่าน จากสถาบันฯ ร่วมให้มุมมอง ซึ่ง รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ ยกตัวอย่างงานวิจัย อาทิ “โครงสร้างและนโยบายประชากรของประเทศสิงคโปร์ในมุมมองของการพัฒนาประเทศไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”
งานวิจัยชิ้นนี้ดำเนินการในปี 2561 ใช้ข้อมูลการคาดการณ์ประชากรของทั้ง 2 ประเทศเพื่อเปรียบเทียบกันโดยไทยนั้นมีประชากรผู้สูงอายุมากเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้น ขณะที่งานวิจัย “การคาดประมาณจำนวนเด็กที่มีน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนของประเทศไทยในอนาคต” ซึ่งทำร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์จากประเทศนิวซีแลนด์
“มีการนำแนวโน้มอัตราเด็กที่มีภาวะเริ่มอ้วนและโรคอ้วน มาคำนวณกับจำนวนประชากรเด็กไทยที่คาดประมาณไว้ ทำให้ทราบว่าถ้าประเทศไทยยังใช้มาตรการเดิมๆ ในปี 2573 หรืออีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้านี้จะมีจำนวนเด็กไทยที่มีภาวะเริ่มอ้วนและโรคอ้วนมากถึง 3.5 ล้านคน และกรณีที่แย่ที่สุดอาจจะมีเด็กไทยอ้วนถึง 7.4 ล้านคนเลยทีเดียว ตัวเลขคาดประมาณนี้สร้าง Impact (แรงกระเพื่อม) ต่อการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพของ สสส. เป็นอย่างมาก” รศ.ดร.จงจิตต์ ระบุ
รศ.ดร.จงจิตต์ เล่าต่อไปถึงอนาคตของโครงสร้างประชากรไทย ประกอบด้วย 1.ประชากรยังคงเพิ่มไปอีกพักใหญ่ก่อนจะลดลง โดยในปี 2564 ไทยมีประชากร 66.7 ล้านคน จากนั้นในปี 2571 คาดว่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 67.2 ล้านคน แล้วจะค่อยๆลดลงเหลือ 65.4 ล้านคนในปี 2583 2.ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นแต่เด็กลดลงและอัตราการเกิดต่ำ สัดส่วนประชากรไทยในอนาคต จะมีจำนวนผู้สูงอายุถึง 1 ใน 3ของประชากรทั้งหมด แต่ประชากรวัยเด็กจะมีเพียงร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น ส่วนอัตราการมีบุตรของหญิงวัยเจริญพันธุ์จะอยู่ที่เพียง 1.51 คน
3.กำลังแรงงานของประเทศลดลง ในปี 2566 ประเทศไทยจะเริ่มเห็นจำนวนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) มีน้อยกว่าประชากรวัยเริ่มเกษียณ (อายุ 60-64 ปี) ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งปัญหานี้มีให้เห็นแล้วในประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นถึงขนาดที่รัฐบาลของ 2 ประเทศดังกล่าวต้องปรับนโยบายให้เอื้อต่อการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศมากขึ้น ถึงกระนั้น “ในกรณีของไทย การทำให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะมีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย ทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิตผู้คนที่เปลี่ยนไปอยู่ตามลำพังมากขึ้น ไม่มีผู้สูงอายุช่วยเลี้ยงหลานครั้นจะจ้างพี่เลี้ยงเด็กก็ไม่ไว้วางใจ ส่วนคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องทำงานคงไม่สะดวกที่จะลางานมาดูลูก
รศ.ดร.จงจิตต์ กล่าวถึงงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งคือ “การให้บริการของศูนย์การศึกษาก่อนวัยเรียนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ซึ่งดำเนินการในปี 2559 มีข้อค้นพบว่า วิถีชีวิตการทำงานของคนในเขตเมือง และสถานรับเลี้ยงเด็กที่ไม่ตอบโจทย์คนเป็นพ่อแม่ เช่น บางคนอยากได้สถานรับเลี้ยงเด็กที่อยู่ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานแต่ไม่สามารถหาได้ขณะที่สถานรับลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพดีนั้นก็มีค่าใช้จ่ายสูง
ด้าน ศ.ดร.ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์ ยกตัวอย่างบทบาทเชิงนโยบายของหน่วยงานภาครัฐ เช่น ช่วงที่มีเด็กเกิดใหม่จำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขต้องเตรียมสถานพยาบาลและบุคลากรด้านอนามัยแม่และเด็กให้เพียงพอขณะที่กระทรวงศึกษาธิการก็ต้องจัดตั้งโรงเรียนให้ครอบคลุมทั่วถึง แต่ในปัจจุบันซึ่งพบว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง จะพบการควบรวมโรงเรียนเข้าด้วยกัน ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กก็ต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุ ไปจนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายงบประมาณ ก็จะต้องคำนวณงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นด้วย เป็นต้น
“ภาคเอกชนเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากการคาดประมาณประชากรเพื่อปรับตัวทางธุรกิจให้สอดคล้องกับลักษณะหรือจำนวนประชากรที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ ก็จะมีการสร้างที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงวัยได้ใช้ชีวิตในครอบครัวได้อย่างปลอดภัย ลดอุบัติเหตุ บริษัทผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปซึ่งเคยผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็ก อาจจะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับผู้สูงวัยแทน” ศ.ดร.ปัทมา กล่าว
ศ.ดร.ปัทมา กล่าวต่อไปว่า โครงสร้างประชากรที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยคือ “20-60-20”หมายถึงเด็ก (แรกเกิด-อายุ 14 ปี) ร้อยละ 20 วัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) ร้อยละ 60 และผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 20 ซึ่งการจะสร้างและรักษาโครงสร้างประชากรแบบนี้ไว้ได้ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การออกแบบนโยบายที่เอื้อต่อการเจริญพันธุ์ จากที่หญิง 1 คนมีลูก 1 คนเศษๆ ควรจะอยู่ที่ 2.05 คน
“ในเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรเพื่อบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต อย่างเรื่องของสถานเลี้ยงเด็กหรือสวัสดิการเพื่อดูแลเด็กให้มีคุณภาพตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ หรือแม้กระทั่งวันหยุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ มันเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้คนไทยตัดสินใจที่จะเลือกวิถีชีวิตของตัว แล้วเรื่องการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตคนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ แต่สำหรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมันก็ใช้เวลานานเช่นเดียวกัน จริงๆ แล้วสักราวๆ 2 ชั่วคน หรือสัก 50 ปี เราถึงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงถ้าเราอยากเห็นโครงสร้างตามที่เราต้องการ
สัก 2 ชั่วคนถึงจะเริ่มเห็น เพราะการเปลี่ยนแปลงใช้เวลานาน ดังนั้นผู้วางนโยบายต้องมีวิสัยทัศน์และเข้าใจสถานการณ์ประชากรของประเทศดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ยาวมากๆ เลย เพื่อให้กำหนดทิศทางของนโยบายประชากรที่ต้องการอยากจะให้ประเทศเป็น ต้องเข้าใจตรงนั้นอย่างดี แล้วการตัดสินใจสร้างนโยบายต่างๆ เหล่านี้ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยหรือต้องใช้ข้อมูลที่มีความเชื่อถือได้” ศ.ดร.ปัทมา กล่าวในท้ายที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี