เมื่อก่อนปีใหม่จู่ๆ สื่อมวลชนก็รายงานข่าวอย่างพร้อมเพรียงกันว่าฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรได้สรุปความเห็นเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของนายกรัฐมนตรีว่าจะนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งก่อนหน้าที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งไม่ได้
โดยอ้างว่าเป็นการนำกฎหมายย้อนหลังมาใช้บังคับ และรัฐธรรมนูญมาตรา 264 เป็นเพียงการกำหนดให้ทำหน้าที่ชั่วเวลาหนึ่งๆ ดังนั้นจึงต้องนับเวลาการดำรงตำแหน่งตั้งแต่การรับตำแหน่งหลังเลือกตั้งไปจนกว่าจะครบ 8 ปี
ในพลันที่ข่าวดังกล่าวปรากฏต่อสาธารณะ แทนที่จะมีผู้คนเห็นด้วยหรือเออออห่อหมก เกิดความเห็นร่วมตามความเห็นของฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร กลับมีแต่เสียงโห่ติเตียน กระทั่งด่าว่าอย่างหยาบคายชนิดที่คาดคิดไม่ถึง โดยเฉพาะนักกฎหมายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งที่มีผู้คนเคารพนับถือและผู้ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามก็พากันคัดค้านติเตียนกึกก้อง
ต่อมาท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ก็ได้แสดงท่าทีว่าข้อเสนอดังกล่าวนั้นไม่ผูกพันประธานสภา เพราะท่านไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ด้วย
ดังนั้นจึงเกิดความสงสัยขึ้นโดยทั่วไปว่าการเสนอความเห็นดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร คือฝ่ายกฎหมายอุตริเสนอขึ้นมาเอง หรือว่ามีใครไปสั่งการให้ทำความเห็น
แม้ความเห็นโดยทั่วไปจะเป็นไปในเชิงคัดค้านไม่เห็นด้วยกับความเห็นของฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็อ้างอิงเหตุผลต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าเหตุผลมุมใดแง่ใดหรือประการใดก็เป็นไปในทางคัดค้านทั้งสิ้น
แต่ทว่าเพื่อให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องนี้เพราะจะเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงก่อนและหลังเดือนสิงหาคม 2565 ดังที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านและกลุ่มมวลชนต่างๆ ตั้งแง่ตั้งงอนกันอยู่ จึงควรทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ครบถ้วนกระบวนความสักครั้งหนึ่ง
ก็ต้องกล่าวว่าความเห็นของฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวนั้นมีปัญหาใหญ่ถึง 3 ประการ และทั้ง 3 ประการนี้คือรากฐานการคัดค้านโต้แย้งทั้งหลาย กล่าวคือ
ประการแรก คือความชอบด้วยอำนาจหน้าที่ เพราะฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการของสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะการพิจารณาเสนอความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับข้อบังคับการประชุมของสภา ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการจัดประชุมในบางเรื่อง รวมทั้งปัญหากฎหมายเกี่ยวกับกระทู้ ญัตติ และร่างกฎหมาย ที่มีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมและมีการหารือทางกฎหมาย อำนาจหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายเป็นลักษณะเช่นนี้
ฝ่ายกฎหมายของสภาไม่มีอำนาจหน้าที่ไปพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และปัญหาวาระการดำรงตำแหน่งของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะความไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ดังกล่าวนี้จึงเป็นที่มาของความสงสัยว่าใครสั่งการให้ทำเรื่องนี้และเพื่ออะไร แต่โดยรวมก็คือเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจหน้าที่และมีลักษณะก้าวล่วงอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและฝ่ายบริหาร
ประการที่สอง ความไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริง เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 158 และ 264 นั้นไม่ได้ใช้บังคับย้อนหลังกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา การอ้างเอาลอยๆ ว่าใช้ย้อนหลังจึงเสียธรรม และผิดไปจากความจริงที่คนทั้งหลายรู้กันโดยทั่วไป
ความจริงก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้วสองสมัย คือสมัยแรกเป็นการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ 2557 และสมัยที่สองเป็นการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 คือดำรงตำแหน่งหลังการเลือกตั้ง 2562 จนถึงปัจจุบันนี้
ในระหว่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งสมัยแรก รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ประกาศใช้บังคับ ดังนั้นมาตรา 158 และมาตรา 264 จึงใช้บังคับมาตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมัยแรก ไม่ได้ใช้บังคับย้อนหลังจากการดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง
นี่คือความจริงอันมิอาจแปรผันเป็นอย่างอื่นได้ สิ่งที่เรียกว่าการนำกฎหมายย้อนหลังมาใช้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ตั้งอยู่กับความจริง
ประการที่สาม ความไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ใจความของความเห็นของฝ่ายกฎหมาย
ฝ่ายกฎหมายเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 158 และมาตรา 264 เรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการนำกฎหมายย้อนหลังมาใช้บังคับให้เป็นโทษ จึงใช้บังคับไม่ได้
การออกความเห็นแบบนี้ถ้าเป็นนักกฎหมายเอกชนที่ทำงานตามบริษัทห้างร้านคงจะถูกตะเพิดไล่ออกจากงานไปแล้ว
เพราะคนไทยทั้งประเทศรู้ดีกันทุกคนว่า รัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทกฎหมายใดก็ตามถ้าขัดกับรัฐธรรมนูญจะใช้บังคับไม่ได้ ลบล้างรัฐธรรมนูญไม่ได้ และต้องใช้รัฐธรรมนูญบังคับกับกรณีทั้งหลายนั้น
การอ้างกฎหมายย้อนหลังเป็นการอ้างเอาลอยๆ แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายย้อนหลังนั้นเป็นบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยความรับผิดทางอาญาของบุคคล ซึ่งกฎหมายอาญาบัญญัติว่าบุคคลจะรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด นี่คือหลักกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการใช้กฎหมายย้อนหลังในทางอาญาไม่ได้
ดังนั้นถ้าฝ่ายกฎหมายเห็นว่าหลักกฎหมายนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญ หลักกฎหมายนี้ก็ใช้กับรัฐธรรมนูญไม่ได้และต้องใช้บทบัญญัติในมาตรา 158 และ 264 ตามรัฐธรรมนูญนั้น
อีกประการหนึ่ง โทษทางอาญานั้นกฎหมายกำหนดไว้ 5 ประการ 5 สถาน คือ ประหารชีวิต จำคุก ขังริบทรัพย์สิน และปรับ ไม่เกี่ยวกับการนับเวลาการดำรงตำแหน่งซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละโลก
ดังนั้นมาตรา 158 และ 264 จึงใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามความที่ปรากฏชัดเจนในรัฐธรรมนูญนั้นมาตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมัยแรกแล้ว ใครไหนก็ตัดเวลาการดำรงตำแหน่งสมัยแรกออกไปไม่ได้ นอกจากจะเผากระบวนการยุติธรรมของประเทศเซ่นสังเวยเรื่องนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี