วันก่อน นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้าโพสต์เฟซบุ๊คว่า “วันนี้มีความคืบหน้าใน “ทางออก” ที่ผมได้เสนอไว้ตอนที่ดีเบต ม.112 กับคุณปิยบุตร เมื่อ 5 พ.ย.64 ระหว่างดีเบตผมย้ำหลายรอบถึง “ทางออก” ตลอดรายการว่า สถานการณ์อย่างนี้ ม.112 ไม่ควรแก้ไขอย่างยิ่ง โดยมีวิธีทำให้ชัดเจนได้ว่า กรณีใดเข้าข่ายผิด หรือไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งเคยปฏิบัติกันมาแล้วด้วย คือการตั้ง“กรรมการกลั่นกรองคดี ม.112” ถ้ากรณีไหนมีแนวปฏิบัติว่าไม่เข้าข่ายก็ปล่อยเลย อันไหนชัดเจนว่าเข้าข่ายก็ดำเนินคดีไป
ผมทำทันที คือ 8 พ.ย. 64 เข้ายื่นหนังสือและเข้าหารือตรงกับ รมต.ยุติธรรม ผมย้ำชัดยืนหยัดปกป้องและคงไว้ซึ่งหลักการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ ไม่ให้มีการแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 ทั้งสิ้นโดยให้ตั้ง “คณะกรรมการกลั่นกรองคดี”
บ่ายเมื่อวาน รมต.ยุติธรรม สมศักดิ์ เทพสุทิน ได้แจ้งกลับมาแล้วครับว่า... ทางกระทรวง “เห็นด้วยในหลักการที่จะตั้งคณะกรรมการฯ” จากที่เลขาธิการพรรคกล้าได้มีจดหมายเรียกร้องกับกระทรวงยุติธรรม และได้แจ้งท่านนายกฯ แล้ว ซึ่งท่านนายกฯ ก็ลงนาม “เห็นชอบ” ด้วยเช่นกัน
ก้าวแรกสำเร็จแล้ว ส่วนก้าวต่อไปฝากรัฐบาลด้วย ความตอนหนึ่งของพรปีใหม่ 2565 ที่ในหลวงพระราชทานให้คนไทยน่าเก็บมาคิดครับ “ความรักสามัคคี ความอดทน และความเข้าใจปัญหา จะพาให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย”
2) เมื่อนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาตามคดี ม.112 ที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ทวีตข้อความว่า“คุณอรรถวิชช์ จากพรรคกล้า เอาเรื่องที่รัฐบาลตั้งกรรมการชุดหนึ่งเพื่อกลั่นกรองผู้ต้องหา 112 ก่อนตัดสินใจฟ้องหรือไม่ มาโฆษณาเสียใหญ่โต บอกตรงๆ ว่า เสียเวลาเปล่าครับ “คณะกรรมการ” แบบที่ว่าที่มีตั้งแต่สมัยอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา...” อรรถวิชช์ตอบอาจารย์สมศักดิ์ว่า เป้าหมายเราอาจต่างกัน ลองฟังเหตุผลเพื่อส่วนรวมดูครับ
1.แก้ ม.112 ตอนนี้ยิ่งจะไปกันใหญ่ กว่าครึ่งของการกล่าวโทษดำเนินคดีคือประชาชนที่รักสถาบัน ไม่ใช่รัฐถ้าไม่รักษากฎหมายไว้ จะตีกันยกใหญ่อีก และวงจรรัฐประหารเดิมๆ ก็มาอีก มันวนกันแบบนี้ไม่จบสักที
2.เคยมีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง ม.112 มาแล้วยุคนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่มีการชุมนุมเสื้อแดง และถูกยกเลิกไปยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยช่วงที่มีกรรมการกลั่นกรองนั้น มีคดีสำคัญที่ถูกสั่งไม่ฟ้องชั้นสอบสวนพอสมควรเลย และโชคดีที่มันไม่บานปลายไปต่อให้ต้องเดือดร้อนอีกหลายคน เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการก็ทำงานได้สะดวกขึ้นด้วย
3 ป้องกันการไขข่าวต่อ จากการพูดเพียง “ครึ่งเดียว”จากนักวิชาการที่ชำนาญ คนสอนรอด คนฟังที่ไปพูดต่อต้องติดคุก เห็นใจพ่อแม่ เห็นใจน้องๆ ครับ
4.มีความเสมอภาค เสรีภาพแล้ว ต้องอย่าลืม “ภราดรภาพ” ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนะครับอาจารย์
พรปีใหม่ของในหลวง ร.10 ปีนี้ ตอนหนึ่งน่าคิดครับ“ความรักสามัคคี ความอดทน และความเข้าใจปัญหา จะพาให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย” การเมืองสร้างสรรค์มันทำได้ครับ
3) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี แสดงความเห็นกรณีตั้ง “กรรมการกลั่นกรองคดี ม.112” ว่าตนและพรรคไทยภักดีอาจจะเห็นต่างกับนายอรรถวิชย์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า เรื่อง “กรรมการกลั่นกรองคดี ม.112” ถ้ากรณีไหนมีแนวปฏิบัติว่า ไม่เข้าข่ายก็ปล่อยเลย อันไหนชัดเจนว่าเข้าข่ายก็ดำเนินคดีไปเพราะเป็นคนมองโลกบนความเป็นจริง ไม่ใช่โลกสวย เพราะขณะนี้
1.มีขบวนการล้มล้างการปกครองเกิดขึ้นจริงๆ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ที่สำคัญมีการกระทำผิดซ้ำซาก ด่า คำหยาบ ให้ร้าย เผา ทำลาย เพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
2.การกระทำของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ มีความตั้งใจที่จะล้มล้างจริง เพียงแต่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรูว่า “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
3.การตั้งกรรมการกลั่นกรองคดี ม.112 ขัดแย้งกับความเป็นจริง ไม่ใช่ในอดีตที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอาม.112 ไปดำเนินคดี แต่การตั้งกรรมการกลั่นกรองคดี จึงเปรียบได้ว่า มีการใช้ ม.112 ไปกลั่นแกล้งคน ซึ่งขัดกับความเป็นจริง
4.การดำเนินคดี ม.112 มีระบบถ่วงดุลอยู่แล้ว ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ที่สำคัญที่ผ่านมาการดำเนินคดีจะชักช้า เพราะหาพยานค่อนข้างยาก การตั้งกรรมการจึงเป็นการยิ่งดึงคดีให้ช้า
5.แม้ขณะนี้ ก็ยังมีความพยายามทำลายสถาบัน ขนาดผู้สมัครรับเลือกตั้งสส. ยังพยายามแซะ การตั้งกรรมการจึงเหมือนให้ท้าย และยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้
ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
“ผมและพรรคไทยภักดี จึงขอยืนยันคัดค้านแนวคิดในการตั้งกรรมการชุดนี้ เพราะกฎหมายไม่เคยรังแกใคร มีแต่คนที่ท้าทายกฎหมาย และขอให้ใช้ระบบนิติรัฐอย่างเข้มงวด ตรงไปตรงมา เพื่อจรรโลงระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้คงอยู่ตลอดไป”
4) สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีการตั้ง “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 รวมตลอดถึงประเด็นที่เป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งและเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ผลของการศึกษาตอนหนึ่งระบุว่า “...การดึงสถาบันฯมาเกี่ยวข้องกับประเด็นและความขัดแย้งในทางการเมืองทำให้ปัญหาทางการเมืองลุกลามบานปลายจนเกิดความแตกแยกของประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันฯและส่งผลให้คนบางส่วนเกิดการต่อต้านสถาบันฯ และกระทำการจาบจ้วงหรือกระทบกระทั่งต่อสถาบันฯซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏว่า มีการนำกฎหมายหมิ่นสถาบันมาใช้เป็เครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมืองโดยโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ ส่งผลให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเกิดความคับแค้นใจ และส่งผลร้ายต่อสถาบันฯ คอป.จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
คอป.เห็นว่าข้อเสนอแนะที่ผ่านมาของ คอป.เกี่ยวกับสถาบันฯยังไม่ได้รับการปฏิบัติตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักการเมือง พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ซึ่งยังคงพาดพิงหรือมีพฤติกรรมที่นำสถาบันฯมาเป็นประเด็นทางการเมือง คอป. ขอให้ทุกภาคส่วนตระหนักว่า การกล่าวอ้างสถาบันฯเพื่อผลประโยชน์ในทางการเมือง จะยิ่งทำให้สถาบันฯตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ คอป.ขอเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ คอป.ว่า “ในห้วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ ทุกฝ่ายควรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะยกย่องเทิดทูนสถาบันฯให้เป็นสถาบันฯที่อยู่เหนือจากความขัดแย้งทางการเมือง” และทุกฝ่ายต้องงดเว้นการกล่าวอ้างถึงสถาบันฯเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
คอป.เรียกร้องให้นักการเมือง พรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองหารือกันอย่างจริงจังเพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้เกิดผลอันเป็นการเทิดทูนสถาบันฯให้อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมือง โดยอาจกำหนดชัดเจนเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้สถาบันฯอยู่ในสถานะที่สามารถดำรงพระเกียรติยศได้อย่างสูงสุดภายใต้รัฐธรรมนูญและสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำความเข้าใจร่วมกันของสังคมเกี่ยวกับสถานะและบทบาทของสถาบันฯในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสถาบันฯและให้มีเวทีให้บุคคลที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์โดยสันติวิธี เพื่อแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการเทิดทูนให้สถาบันฯอยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมืองโดยสอดคล้องกับพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย”
ส่วนประเด็นกฎหมายหมิ่นฯนั้น คอป.ระบุว่าการใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันฯ กล่าวคือ มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองนั้น นอกจากจะไม่เป็นการปกป้องสถาบันฯแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในชาติด้วย ที่ผ่านมา คอป.จึงได้เสนอแนะแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันฯและเสนอแนะให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นสถาบันฯ แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาหรือนำไปปฏิบัติตาม คอป.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะของ คอป.ในประเด็นดังกล่าวไปปฏิบัติตามด้วย เพราะจากการสังเกต คอป.พบว่า ในความผิดที่บุคคลสาธารณะ (Public Figure) ตกเป็นผู้เสียหายนั้น ระบบกฎหมายของไทยยังไม่มี “ความผิดที่ต้องให้อำนาจ” (Authorization Delict) บุคคลในกระบวนการยุติธรรม จึงดูจะดำเนินคดีไปในทิศทางที่เกิดจากความกลัวหรือประจบประแจง
คอป.เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันฯ ตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญามีการระวางโทษในอัตราที่สูงไม่ได้สัดส่วนกับความผิด จำกัดดุลพินิจของศาล ในการกำหนดโทษที่เหมาะสม ไม่มีความชัดเจนในขอบเขตที่เข้าข่ายตามกฎหมาย และยังเปิดโอกาสให้บุคคลใดๆ สามารถกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีได้ ทำให้กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือกำจัดศัตรูในทางการเมือง คอป.จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและรัฐสภาจักร่วมกันแสดงความกล้าหาญในทางการเมือง เพื่อขจัดเงื่อนไขของปัญหาจากกฎหมายดังกล่าวด้วยการแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันฯ โดยศึกษานโยบายทางอาญาของประเทศต่างๆ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาปรับใช้ เป็นแนวทางในการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย ทั้งนี้ สถาบันฯเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในสังคมไทยการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวของรัฐบาลและรัฐสภาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงว่าจะไม่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมีกระบวนการที่เปิดให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง เพื่อแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
ในระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันฯ คอป.ขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการกำกับการใช้อำนาจรัฐและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมพึงระมัดระวังในการนำเอากฎหมายหมิ่นสถาบันมาใช้ในเวลาที่มีความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ โดยดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่จาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยเจตนาร้ายต่อสถาบันฯอันเป็นที่สักการะและหวงแหนของปวงชนชาวไทย แต่ไม่ควรนำมาตรการในทางอาญามาใช้อย่างเคร่งครัดจนเกินสมควร โดยขาดทิศทางและไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนของคดี นอกจากนี้ ยังต้องหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันให้กว้างขวางหรือครอบคลุมลักษณะการกระทำที่นอกเหนือไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ เนื่องจากจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง เช่น การแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริต การวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ตามครรลองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คอป.พบว่าการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันมีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ และการดำเนินงานยังไม่สอดคล้องหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คอป.จึงเห็นว่า รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันมีความเป็นเอกภาพ และดำเนินงานร่วมกันอย่างบูรณาการโดยกำหนดให้มีกลไกหรือองค์กรในการกำหนดนโยบายทางอาญาที่เหมาะสม สามารถจำแนกลักษณะคดีและกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบัน โดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรมเจตนา แรงจูงใจในการกระทำ สถานภาพของบุคคลที่กระทำ บริบทโดยรวมของสถานการณ์ที่นำไปสู่การกระทำ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำและการดำเนินคดี โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นจากการถวายพระเกียรติยศสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ
รัฐบาลต้องส่งเสริมการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นสถาบันฯ ให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกันซึ่งจะช่วยลดปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ คอป.เน้นย้ำถึงความสำคัญของอัยการในการใช้ดุลพินิจสั่งคดีดังที่ คอป.เคยได้เสนอแนะไปแล้วว่า “อัยการซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการใช้ดุลพินิจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ ควรให้ความสำคัญกับแนวทางการสั่งคดีโดยใช้ดุลพินิจ (Opportunity Principle) ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการอันเป็นสากล แม้ว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่อัยการต้องให้ความสำคัญกับการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการดำเนินคดีด้วย...อันเป็นแนวทางที่ใช้อยู่ในประเทศที่มีสถาบันฯ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น”
มาครับ อ่านความคิดรอบด้านหลายมุมแล้ว จงช่วยกันส่งเสียงพร้อมเหตุผล ว่าแต่ละคนต้องการให้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปในทางใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี