สถานการณ์เกี่ยวกับหนี้สินของประเทศไทยในปัจจุบันนี้เป็นสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย คือนับแต่มีชาติไทยเป็นต้นมาหรือนับแต่นามชนเผ่าไทยปรากฏขึ้นในโลก เราก็ไม่เคยมีหนี้สินมากมายมหาศาลขนาดนี้
บุคคลหรือนิติบุคคลใดถ้าหากมีหนี้สินมากขนาดนี้ก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และมีฐานะทางกฎหมายที่เข้าข่ายเป็นบุคคลล้มละลาย ที่อาจถูกดำเนินคดีและขอให้ศาลพิทักษ์ทรัพย์และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายได้
ดังนั้นปัญหาเรื่องหนี้สินนี้จึงเป็นเรื่องที่ดูเบาไม่ได้เป็นอันขาด และเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อเรื่องราวต่างๆ ในบ้านเมือง เพราะการบริหารราชการแผ่นดินและการดำเนินการทั้งหลายไม่ว่าของรัฐและเอกชนจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ถ้าหากว่าปัญหาหนี้สินทับถมถึงระดับที่แน่นอนหนึ่งๆ
เหตุนี้การที่นายกรัฐมนตรีได้ปรารภและสั่งการส่วนราชการหลายหน่วยงานให้เร่งรีบแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยเฉพาะหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้สินของข้าราชการและประชาชนบางหน่วยงาน เช่น หนี้สินตำรวจ หนี้สินครู หนี้สินการศึกษา เป็นต้น จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องควรแก่การอนุโมทนา เพราะอย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเริ่มตระหนักรู้ถึงปัญหานี้แล้ว
ความจริงประเทศไทยประสบปัญหาหนี้สินมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 2557 แล้ว โดยขณะนั้นมีหนี้สาธารณะหรือหนี้ของประเทศประมาณ 5 ล้านล้านบาท มีหนี้สินครัวเรือนหรือหนี้สินส่วนของประชาชนประมาณ 6-7 ล้านล้านบาท ในขณะที่ GDP ของประเทศอยู่ในระดับ 13-14 ล้านล้านบาทในขณะนั้น
จึงเกิดเสียงท้วงติงจากนักวิชาการและนักบริหารเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่องว่าภาระหนี้กำลังก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงอันตรายทางเศรษฐกิจ เพราะอยู่ในระดับใกล้ 60% ของ GDP แล้ว
แต่ทว่าสภาพดังกล่าวนั้นและคำท้วงติงทั้งหลายเหล่านั้นกลับไม่ถูกนำพาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย มีการส่งเสริมให้ประชาชนเป็นหนี้เป็นสินด้วยกรรมวิธีหลากหลายมากมาย และมีการใช้จ่ายเงินทั้งเงินในงบประมาณและเงินนอกงบประมาณอย่างสนุกสนาน ประหนึ่งว่าไม่เห็นปัญหาใดๆ ของสภาพหนี้สินในขณะนั้นเลย
7 ปีผ่านไป สถานการณ์ทรุดหนักลงอย่างยิ่ง อาจเรียกว่าเข้าขั้นโคม่าก็ได้ นั่นคือหนี้สาธารณะได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านล้านบาท หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านล้านบาท และยังปรากฏหนี้สินกลุ่มต่างๆ ผุดออกมาจำนวนมาก เช่นหนี้ของตำรวจ 200,000 คน ที่เป็นหนี้รวมกันถึง 100,000 ล้านบาทหนี้สินครูร่วมล้านคน จำนวนประมาณ 1,500,000 ล้านบาท หนี้สินการศึกษาที่ให้นักศึกษากู้ยืมเงินไปใช้หลายแสนคนอีกนับแสนล้านบาท
สิริรวมแล้วภาระหนี้ทั้งหมดกว่า 25 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนหนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ และมีสภาพที่กล่าวได้ว่าหนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องแก้ไขเพดานหนี้จากที่เคยกำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของ GDP เป็น 70% ของ GDP แต่เวรกรรมซ้ำเติม GDP ของประเทศไม่ได้เติบโตขึ้น กลับทรุดต่ำลง ซึ่งถ้าจำนวนการก่อหนี้เพิ่มขึ้นในอัตราเดิมก็จะทำให้ 70% ของ GDP รับไม่ไหว
ประเทศไทยตั้งงบประมาณปีละ 3.1 ล้านล้านบาท แต่มีรายได้ไม่พอมาใช้จ่าย จึงต้องกู้เงินมาเสริมงบประมาณสำหรับปี 2565 ถึง 700,000 ล้านบาท และในปี 2566 อีก 690,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่านอกจากไม่ได้ชะลอการก่อหนี้แล้ว แค่งบประมาณเรื่องเดียวก็ยังเดินหน้าก่อหนี้เพิ่มเติมไม่หยุดยั้ง
นอกจากนั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เปิดเผยว่ากำลังจะเข้าตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาล โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัส เนื่องจากมีการใช้เงินนอกงบประมาณจำนวนมาก
ซึ่งหมายความว่านอกจากการใช้เงินตามงบประมาณแผ่นดินแล้ว ยังมีการใช้เงินนอกงบประมาณแผ่นดินด้วย ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อไปว่าเป็นการใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และวิธีการใช้เงินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าเงินแผ่นดินนั้นจะนำไปใช้จ่ายได้ก็แต่โดยอำนาจตามกฎหมายงบประมาณ ซึ่งได้จัดทำขึ้นตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ และต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา
การใช้เงินนอกงบประมาณจะทำได้เฉพาะกรณีเล็กน้อยเร่งด่วนฉุกเฉินตามที่ได้รับอนุญาตไว้ในกฎหมายวิธีการงบประมาณ จะใช้จ่ายกันตามอำเภอใจไร้ขอบเขตหาได้ไม่
และ ณ บัดนี้ก็ไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่ามีการใช้เงินนอกงบประมาณเป็นจำนวนเท่าใด และการนำเงินนอกงบประมาณมาใช้นั้นเป็นการนำมาใช้ในลักษณะรัฐกู้ยืมเงินมาใช้ หรือกำหนดให้หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจแบกรับภาระหนี้สินกันเอง ดังนั้นจึงต้องถือว่าภาระหนี้สินที่ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณนั้นยังเป็นตัวเลขที่จะต้องหาจำนวนแน่นอนต่อไป
แม้นายกรัฐมนตรีจะสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สิน แต่ใช่ว่าแค่การสั่งการแล้วจะแก้ไขปัญหาได้
เพราะหนี้สินทั้งหลายนั้นจะแก้ไขได้ก็แต่โดยวิธีการลดหนี้ ปลดหนี้ หรือชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งไม่มีวิธีการดังกล่าวให้เห็นได้ชัดเจนว่าจะใช้วิธีการใด และจะนำเงินจากไหนไปแก้ไขปัญหาหนี้สินเหล่านั้น
ดังนั้นปัญหาหนี้สินทั้งหลายจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายประเทศไทยและคนไทยในปี 2565 นี้ และขณะนี้สัญญาณระเบิดของหนี้มหาศาลนี้ก็ได้แย้มพรายให้เห็นแล้วจากการที่สถาบันการเงินประเภทบริษัทประกันต้องปิดกิจการเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าประกัน และจะส่งผลกระทบเป็นชนวนระเบิดอย่างไรต่อไปย่อมเป็นเรื่องน่าจับตาอย่างยิ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี