ข่าวคราวเล็กๆ แต่ส่งผลสะเทือนมาก โดยเฉพาะชาวสวนทุเรียนผู้ส่งออกทุเรียนไปต่างประเทศ เกี่ยวกับการที่ไม่สามารถส่งทุเรียนจากประเทศไทยไปขึ้นรถไฟเส้นทางสายไหมลาว-จีน ได้ ทำให้ทุเรียนต้องคั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นสัญญาณอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่งต่อภาคเกษตรไทย
เพราะนับแต่นี้ไปยังมีสินค้าภาคเกษตรหลายตัวที่จะทยอยออกสู่ตลาด ไม่ว่ามังคุด เงาะ มะม่วง ลำไย ข้าว ยางพารา และอื่นๆ ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยการส่งออกไปยังต่างประเทศ และประเทศที่จะส่งไปมากที่สุดก็คือประเทศจีน
ถ้าหากการส่งสินค้าเกษตรจากประเทศไทยไปประเทศจีนมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับการส่งออกทุเรียนในขณะนี้ก็ย่อมหมายถึงหายนะของภาคเกษตรไทยที่จะ
ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรทั่วประเทศ ต่อผู้ค้าภาคเกษตรทั่วประเทศ รวมทั้งผู้ส่งออกทั้งปวงด้วย และแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรงตามมา
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าการส่งออกภาคเกษตรหลายปีมานี้ประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศจีนเพราะอยู่ใกล้ มีความต้องการทางตลาดสูงมากอย่างต่อเนื่อง และการขนส่งก็ใกล้กว่าภูมิภาคอื่นของโลก
ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งสินค้าภาคเกษตรไปยังประเทศจีนโดยสามทาง คือโดยทางอากาศซึ่งมักจะเป็นสินค้าภาคเกษตรที่มีราคาสูงและเสียง่าย ทางทะเลโดยทางท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าภาคเกษตรที่ราคาต่ำและไม่เน่าเสียโดยง่าย แต่ต้องใช้เวลาในการขนส่งนาน เสียค่าใช้จ่ายสูงเพราะต้องขนจากรถไปลงท่าเรือที่แหลมฉบัง มาบตาพุด
แล้วเรือขนส่งนั้นก็แล่นผ่านอ่าวไทยไปอ้อมแหลมญวนเข้าทะเลจีนใต้ ไปขึ้นที่ท่าเรือฟังเฉินกังที่กวางสีบ้าง ท่าเรือที่กวางตุ้งบ้าง ท่าเรือที่ฮกเกี้ยนบ้าง มีส่วนน้อยที่ไปขึ้นท่าเรือต้าเหลียนและเหลียวหนิงในภาคอีสานของจีน
และทางที่สามก็คือการขนส่งโดยทางรถยนต์ ซึ่งจะขนส่งข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศลาว ไม่ว่าจากหนองคายหรือจากมุกดาหาร เมื่อเข้าประเทศลาวแล้วก็จะโฉมหน้าไปยังถนนเชื่อมลาวกับจีนคือเส้นทาง R3A และไปส่งสินค้าที่มณฑลยูนนาน แต่ต่อมาเส้นทางนี้อยู่ระหว่างการซ่อมแซม บ้างก็ต้องขนส่งผ่านประเทศลาวไปยังประเทศเวียดนามที่ด่านเมืองดั่งดงแล้วขนของขึ้นรถไฟจากกลางประเทศเวียดนามไปยังด่านผิงสิงก่วนที่มณฑลกวางสี ซึ่งต้องยกของขึ้นลงหลายทอด ต้องผ่านด่านศุลกากรหลายทางและระยะทางก็ไกลมาก ต้องเสียเบี้ยบ้ายรายทางทุกทอด
ที่สำคัญคือการไปขนของขึ้นรถไฟที่ด่านดั่งดงนั้นต้องผ่านการจัดคิวขึ้นรถไฟ ซึ่งปกติรถไฟสายนี้ก็จะอนุญาตให้สินค้าของชายแดนเวียดนาม ลาว ได้ขนก่อน ถัดจากนั้นก็จะเป็นสินค้าของลาวที่ติดกับชายแดนดั่งดง ถัดจากนั้นจึงเป็นสินค้าของประเทศไทย ดังนั้นการขนส่งเส้นทางสายนี้สินค้าไทยจึงต้องกินน้ำใต้ศอกและเสียหาย เสียเวลามาก
โดยเฉพาะคือเป็นการขนส่งโดยทางรถยนต์ จะต้องจัดผู้คนไปเจรจาความและติดต่อที่ด่านดั่งดงเพื่อเอาของขึ้นรถไฟไปยังเมืองจีน ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและไม่สะดวกอย่างยิ่ง
อีกทางหนึ่งซึ่งจะขนได้ก็คือทางแม่น้ำโขง ซึ่งถ้าหากสามารถขนส่งโดยเส้นทางสายนี้ได้ประเทศไทยจะได้เปรียบที่สุดเพราะตั้งอยู่กลางแม่น้ำโขง ไปจีนก็ใกล้ ไปเวียดนามหรือกัมพูชาก็ใกล้ แต่ปรากฏว่าประเทศไทยไม่สามารถขนส่งสินค้าทางแม่น้ำโขงได้เพราะประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมแผนปฏิบัติการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงตามปฏิญญาซันย่าของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ
จึงไม่มีการขุดลอกความตื้นเขินและเกาะแก่งจากฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งไทยไปยังเขตแดนประเทศไทยในแม่น้ำโขงคือเกาะแก่งซึ่งมักจะอยู่ใกล้ริมฝั่งและเป็นพื้นที่ตื้นเขิน และเมื่อไทยไม่เข้าร่วมแผนพัฒนาแม่น้ำโขง 5 ประเทศเขาก็ร่วมกันทำงานกันไป จึงเป็นเหตุให้ไม่มีท่าเรือขนส่งสินค้าและเรือสินค้าขนาดหนักรับสินค้าจากประเทศไทยผ่านทางแม่น้ำโขงได้
ประเทศไทยจะแก้ไขปัญหาความเสียเปรียบและเสียหายตรงจุดนี้ได้ก็แต่โดยการเข้าร่วมแผนพัฒนาแม่น้ำโขงอีกครั้งหนึ่งให้เร็วที่สุด ยิ่งช้านานเท่าใดก็ยิ่งเสียหายมาก
สำหรับการขนส่งทางบกโดยทางรถยนต์นั้น นอกจากสินค้าไทยจะไปจีนแล้วก็ยังมีสินค้าจีนมาไทยด้วย และในจำนวนนี้ก็มีพืชผักผลไม้และอื่นๆ ครั้นมีการเปิดการเดินรถไฟเส้นทางสายไหมจีน-ลาว แล้วการขนส่งก็เปลี่ยนแปลงไป โดยยกเลิกการขนส่งทางรถยนต์ และใช้การขนส่งทางรถไฟลาว-จีน แทน เป็นข่าวฮือฮาดังสนั่น กดดันขบวนการเบี้ยวจีนที่ไม่ยอมเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมไทย-จีน อย่างหนักหน่วง
ดังนั้นเพื่อแก้ตัวให้กับการเบี้ยวข้อตกลงในการสร้างรถไฟไทย-จีน จึงมีการกล่าวหาใส่ร้ายประเทศลาวนานาประการ กระทั่งดูถูกเหยียดหยามและเป็นเหตุให้รัฐบาลลาวออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง จนขบวนการเหล่านี้ต้องไปกราบขอขมาลาโทษดังที่ทราบโดยทั่วกันแล้ว
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าเกษตร ทันทีที่มีการส่งสินค้าจำพวกผักผลไม้มาทางรถไฟจีน-ลาว ขบวนการแก้ตัวให้กับการเบี้ยวจีนและสร้างความเกลียดชังจีนก็โหมประโคมข่าวว่าจีนทุ่มตลาดส่งพืชผักผลไม้มาถล่มพืชผักผลไม้ของประเทศไทย เป็นข่าวคราวฮือฮาดังสนั่นจนทำให้คนที่ไม่ทราบความจริงพลอยเกลียดชังประเทศจีน และในที่สุดฝ่ายไทยก็มีคำสั่งให้มีการเข้มงวดกวดขันในการตรวจสอบพืชผักผลไม้ที่ขนส่งโดยทางรถไฟจีน-ลาว ที่จะขนเข้ามายังประเทศไทย
การสั่งการให้เข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพและความสะอาด ตลอดจนมาตรฐานของพืชผักผลไม้ดังกล่าวนั้น ความหมายในการปฏิบัติก็คือกักกันไม่ให้นำเข้าพืชผักผลไม้จากจีนที่ขนมาโดยทางรถไฟเส้นทางสายไหมจีน-ลาว และจะข้ามแดนมายังประเทศไทย
ความจริงมูลค่าพืชผักผลไม้ที่จะข้ามแดนดังกล่าวนี้ก็มีราคาไม่มากมายอะไรนัก วันละ 1-3 ล้านบาท เป็นอย่างมาก และแท้ที่จริงก็ไม่ใช่เป็นสินค้าเพิ่มเติมที่ทุ่มตลาดถล่มตลาดผักผลไม้ของประเทศไทยแต่ประการใด หากเป็นพืชผักผลไม้ปริมาณและจำนวนไม่ต่างจากเดิม เพียงแต่เปลี่ยนการขนส่งจากรถยนต์เป็นรถไฟเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ค้าฝ่ายจีนและลาวก็เดือดร้อน และเมื่อเดือดร้อนแล้วเขาจะตกลงทำอะไรกันก็ไม่มีใครทราบ แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือทุเรียนของประเทศไทยถูกห้ามไม่ให้ขึ้นรถไฟเส้นทางสายไหมลาว-จีน ไปยังประเทศจีน ในขณะที่การขนส่งทางรถยนต์ก็ทำแทบไม่ได้แล้ว
หรือว่านี่คือปฏิกิริยาตอบโต้กับการตรวจสอบกักกันพืชผักผลไม้จากจีนผ่านลาวเข้าไทย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าการตรวจสอบกักกันพืชผักผลไม้จากจีนเข้าลาวมายังไทยนั้นอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดความเสียหน้าและเป็นเหตุให้มีการตอบโต้ โดยการไม่ให้ทุเรียนของประเทศไทยขนส่งโดยรถไฟลาว-จีน
ดังนั้นปัญหาเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็กและไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ตัวขอไปที แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้เกิดความร่วมมือและอำนวยประโยชน์แก่กันและกันดังเดิมให้ได้
เพราะถ้าปัญหานี้ยังแก้ไม่ตก ก็พอจะคาดได้ว่าเมื่อถึงกาลเวลาที่พืชผลทางเกษตรอย่างอื่นออกสู่ตลาดและจะต้องส่งออกไปยังประเทศจีนก็ไม่มีทางที่จะส่งไปโดยทางรถไฟลาว-จีน ได้และแน่นอนว่าย่อมเกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศไทยและผู้ประกอบการภาคเกษตร รวมถึงเกษตรกรทั่วประเทศด้วย
การใช้วิธีอ้อนวอนขอความช่วยเหลือแบบขอไปทีเป็นครั้งเป็นคราวอาจจะไม่ได้ผลอีกแล้ว ในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็มีปัญหาเรื่องการส่งลำไยไปยังประเทศจีน ที่ถูกกักไม่ให้ส่งเข้าประเทศจีนจำนวนมาก เพราะมีเชื้อโรคบ้าง แบคทีเรียบ้าง และยาฆ่าแมลงบ้าง จนต้องไปอ้อนวอนให้ผ่อนผันแบบขอไปที แต่มาคราวนี้เห็นจะทำแบบขอไปทีไม่ได้แล้ว
จะต้องย้อนดูว่ามูลฐานแห่งปัญหาข้อขัดข้องเคืองขุ่นใจไทย-จีน นั้นมีอะไรบ้าง หากทราบสาเหตุแล้วจึงจะเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหาที่สัมฤทธิผล ซึ่งรากฐานของเรื่องนี้เห็นจะมีดังต่อไปนี้
ข้อแรก การเบี้ยวข้อตกลงรถไฟเส้นทางสายไหมไทย-จีนตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติไว้ จนถึงวันนี้ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าแม้ถึงปี พ.ศ. 2570 แค่ช่วงกรุงเทพฯ-โคราช ก็ยังสร้างไม่เสร็จ เพราะยังไม่ได้เวนคืนที่ดิน ในขณะที่จีนได้รับซื้อข้าวเน่า ข้าวดีรวม 2 ล้านตัน และยาง 2 แสนตันไปแล้ว
ข้อสอง การเบี้ยวไม่ลงนามในแผนปฏิบัติการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงตามปฏิญญาซันย่า
ข้อสาม การอนุญาตให้สหรัฐตั้งสถานกงสุลขนาดใหญ่ที่เชียงใหม่ และขยายสถานทูตในกรุงเทพฯ ขนาดใหญ่เทียบเท่ากับสถานทูตในเยอรมนีซึ่งเป็นศูนย์กลางการควบคุมประสานงานกับกลุ่มนาโต
แค่สามเรื่องนี้ก็จะเห็นได้ว่าเป็นปัญหาหนักหน่วงที่กระทบต่อความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง และน่าจะเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี