ความเดือดร้อนเรื่องปากท้อง ความรู้สึกนึกคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ก่อให้เกิดความเห็นต่าง จนนำไปสู่การแสดงออกด้วยการประท้วง ซึ่งก็มักจะได้รับการตอบสนองจากฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ ด้วยการอ้างข้อกฎหมายเพื่อดำรงเสถียรภาพ และความมั่นคงของบ้านเมือง ก่อนจะใช้กำลังเข้าปราบปรามเพื่อยุติการชุมนุม ล่าสุดสามารถเห็นได้ที่ประเทศคาซัคสถาน เอเชียกลาง โดยก่อนนั้นไม่นานก็ที่ประเทศเมียนมาเพื่อนบ้านของเรา รวมทั้งประเทศซูดาน ประเทศเยเมน ประเทศลิเบีย และประเทศเอธิโอเปีย เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีการปราบปราม กดขี่ โดยไม่ให้ฝ่ายผู้ประท้วงต่างๆ ได้ทันตั้งตัว เช่น ที่กัมพูชา ที่ประเทศจีนในกรณีฮ่องกงและเสฉวน (ชาติพันธุ์อุยกูร์มุสลิม) ที่ประเทศรัสเซีย และประเทศเบลารุส เป็นต้น นี่ยังไม่นับประเทศที่อยู่ได้ด้วยระบบเผด็จการ ที่ประชาชนพลเมืองขาดสิทธิเสรีภาพและตกอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัว อีกมากมายหลายประเทศ
ทั้งหมดนี้ ผู้นำคาซัคสถานดูจะโหดที่สุด เพราะออกคำสั่งให้ฝ่ายกองกำลังความมั่นคงยิงประชาชนผู้ประท้วงโดยไม่ต้องเตือนก่อน แถมยังร้องขอให้รัสเซียประเทศพันธมิตร ส่งทหารเข้ามาช่วยปราบปรามพลเมืองของตนเองอีกด้วย
ส่วนที่เมียนมาก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ฝ่ายกองทัพได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ทำลายประชาธิปไตยไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 มาจนบัดนี้ กองทัพก็ยังไม่ลดละการใช้กำลังกวาดล้างผู้เห็นต่างผู้เรียกร้องประชาธิปไตยไปทั่วทุกตารางนิ้วของแผ่นดินเมียนมาและแถมยังได้ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา(ผู้เพิ่งเข้ารับวาระการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนตลอดช่วงปี 2565 นี้) มาเป็นลูกคู่ มาเป็นกองเชียร์อีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สมเด็จฮุนเซน นั้นเห็นดีเห็นงามกับการบ่อนทำลายประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้ความรุนแรง และอำนาจรัฐเท่านั้นในการปกครองบ้านเมืองหรือเอาประชาชนพลเมืองเมียนมาทุกคนให้อยู่ในอาณัติ ในอุ้งมือ(หรือจะพูดให้หยาบหน่อยคือ ให้อยู่ใต้บาทา) ขณะที่ผู้นำอาเซียนอีก 8 ประเทศรวมทั้งไทย ก็ดูเฉยเมยกับความเป็นไปดังกล่าว เสมือนว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง ตนเองไม่เกี่ยวข้อง และปล่อยให้ผู้นำกัมพูชา และเมียนมา ดำเนินการตามอำเภอใจ ทั้งที่ต่างเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ที่มีกฎเกณฑ์กติกา มีหลักเกณฑ์หลักการ มีฉันทามติร่วมกันในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเมียนมา สะท้อนความอ่อนแออ่อนเปลี้ยของประชาคมอาเซียน และการขาดจิตสำนึก และความกล้าหาญ ที่จะยืนอยู่กับสิ่งที่ควรที่ถูกต้อง ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ กำลังร่วมกันปล่อยให้อาเซียนแตกแยก ล่องลอยไปตามยถากรรม
เมื่อมองมุมกว้างในระดับโลกก็ดูเสมือนว่าในวันนี้โลกจะมีความเป็นอนาธิปไตยมากขึ้น นั่นคือประเทศใดจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงหลักกฎหมาย หลักปฏิบัติหรือจิตสำนึกที่ดีระหว่างประเทศ หรือนัยหนึ่ง โลกกำลังอยู่ในภาวะที่บรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ ที่เป็นเผด็จการ ต่างกำลังเริงร่ากับการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต เพื่อความยืนยงของตนเอง และกำลังเพลิดเพลินไปกับการได้กดขี่ ข่มเหง สร้างความทุกข์ทรมาน และการเข่นฆ่าประชาชนพลเมืองของตนเองตามอำเภอใจ ซึ่งประชาชนพลเมืองโลกก็ดูจะพึ่งพาผู้นำระดับโลก หรือประเทศชั้นนำของโลกไม่ได้อีกต่อไป เพราะต่างก็ติดหล่มกับปัญหาภายในของตนเอง หรือไม่ก็ประพฤติตนเป็น “ผู้ร้าย” เสียเอง นอกจากนั้นผู้นำที่ดีอยู่ในร่องในรอย ก็ดันไร้ความกล้าหาญชาญชัยที่จะเสนอตัวออกมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ส่งผลให้ประเทศน้อยใหญ่ต้องตกอยู่ในสภาวะที่ขมขื่น ไร้อนาคตต่างๆ ดังกล่าว
ดูแล้วก็เป็นเรื่องที่ประชาชนพลเมืองในแต่ละประเทศ จะต้องรวมตัวร่วมกันเป็นเครือข่าย ในการที่จะต่อสู้กับอำนาจมืดทั้งหลายด้วยตนเอง ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ก็จำเป็นที่จะต้องเพียรพยายามอย่างไม่ย่นย่อท้อถอย ไม่ท้อแท้ เพื่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งการเป็นมนุษย์ของตนเอง
ฉะนั้น ณ วันนี้ และในวันข้างหน้าอันใกล้ ก็จัดได้ว่าสังคมโลกคงจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายผู้ปกครอง กับฝ่ายผู้อยู่ใต้การปกครองมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นจัดได้ว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรม กับฝ่ายอธรรม
แต่ปัญหาการเผชิญหน้า และการเป็นอริต่อกันระหว่างประชาชนกับผู้นำฝ่ายบริหาร ก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสียเลยหากบรรดาผู้นำจะได้มีสติกันเสียนิด หยั่งคิดว่าการพูดจากันเพื่ออะลุ้มอล่วยหาข้อยุติร่วมกันนั้นมิใช่เรื่องสุดวิสัย อีกทั้งเมื่อเรื่องราวของความทุกข์อกทุกข์ใจยังค้างคาอยู่ การใช้กำลังปราบปราม มิได้ทำให้เรื่องหมดสิ้นไป เพราะจะมีคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามารับช่วงในขบวนการต่อต้านกันไปเรื่อยๆ และไม่มีสังคมใดที่จะคงอยู่อย่างถาวร ได้บนพื้นฐานของความแตกแยก ความปรองดองสมานฉันท์นำมาซึ่งความสามัคคี และความสามัคคีนั้น จะทำให้ชาติบ้านเมืองก้าวขึ้นไปข้างหน้าได้
สังคมไทยแม้จะมีประเด็นปัญหาเรื่องความเห็นต่าง แล้วก็มีการเผชิญหน้ากันบ้าง แล้วก็มีการปราบปรามจนความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้น แต่อย่าลืมว่าความคุกรุ่น สภาวะอารมณ์ค้าง ยังคงมีอยู่ ฉะนั้น หากบรรดาผู้กุมอำนาจรัฐจะตั้งสติได้ แล้วเปิดให้เกิดการพูดจาหารือกัน เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ก็ยังมีความเป็นไปได้ โดยสภาพการณ์ที่เราเห็นในเมียนมาและคาซัคสถานก็จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย
ไม่มีผู้นำใดที่เป็นเผด็จการที่จากโลกไปแล้วจะไม่ทิ้งปัญหาไว้ให้กับครอบครัวและญาติมิตรสหาย และบ้านเมือง
แล้วทำไมจะไม่คิด ลงมือ ขจัดปัญหาในช่วงที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่กันเล่า?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี