“ชักเย่อ” อ่านว่า ชัก-กะ-เย่อ
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า ชักเย่อ ไว้ว่า เป็นชื่อการเล่นอย่างหนึ่ง โดยแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายจะมีจำนวนเท่าๆ กัน หรือกำลังพอๆ กัน มักใช้เชือกขนาดพอกำรอบ ยาวพอที่จะให้ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย เรียงแถวจับได้ โดยมีที่ว่างระหว่างกลางเหลือไว้ประมาณ 2 เมตร กลางเชือกคาดด้วยผ้าหรือใช้สีป้ายเป็นเครื่องหมายไว้ วางกึ่งกลางเชือกไว้บนพื้นที่ที่มีเส้นขีดกลางเป็นเส้นแบ่งเขตแดน เมื่อกรรมการให้สัญญาณ ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็จะพยายามดึงเชือกให้กึ่งกลางของเชือกเข้ามาในแดนของตน ถ้าฝ่ายใดสามารถดึงกึ่งกลางเชือกเข้ามาในแดนของตนได้ ถือว่าชนะ ตามปกติจะแข่งกัน 3 ครั้ง ฝ่ายที่ชนะ 2 ใน 3 ครั้งถือว่าชนะเด็ดขาด
ดูๆ ไปแล้ว สถานการณ์การเมืองของไทยเวลานี้ คล้ายๆ หรือใกล้เคียงกับการเล่นชักเย่อ โดยเลือกเอาบางสิ่งบางอย่าง หรือบางบุคคล ขึ้นมาเป็น “เส้นเชือก” นั้น !!
ดูการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร-สงขลา-หลักสี่ แล้ว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นดั่งเสมือน “เส้นเชือก” ที่ถูกใช้ชักเย่อกัน
1) หากปะติดปะต่อท่าทีและประเด็นในการหาเสียงจะพบว่า ระหว่างทีม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับเลขาธิการพรรค ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่า เป็นทั้ง “จุดแข็งและจุดอ่อน” ในตัวเอง
จุดแข็ง คือ ลงพื้นที่ถี่ยิบ ร่วมขึ้นเวทีปราศรัย แสดงความจริงจังในการสนับสนุนผู้สมัคร โดยเฉพาะที่ชุมพร ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยมีมติไม่ส่งผู้สมัครมาก่อน ก่อนจะกลับลำส่งในภายหลัง
คำถามที่ “คา” อยู่ในใจคนคือ เลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐแล้ว เขาจะไป “เติมเสียงสนับสนุนให้ใคร”ให้ พล.อ.ประยุทธ์ หรือให้ทีมบิ๊กป้อม-ธรรมนัส ไปเป็นแรงต่อรองกับบิ๊กตู่ในภายหลัง
อย่าลืมว่า แผลติดตัว ร.อ.ธรรมนัส คือข้อกล่าวหาว่าพยายามโค่นบิ๊กตู่ลงจากเก้าอี้ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา จนถูกปลดออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่บิ๊กป้อมขัดขวางทุกกระบวนการที่จะทำให้ ร.อ.ธรรมนัส หลุดจากเก้าอี้เลขาฯพรรค รักและหนีบไว้ข้างกายเสมอ จนเป็นที่มาของความหวาดระแวงแคลงใจว่า 3 ป. ไม่แนบแน่นเหมือนแต่ก่อนแล้ว
นับจากนี้ ที่จะมีกฎหมายสำคัญผ่านเข้าสภา และการเปิดอภิปรายต่างๆ นานาของฝ่ายค้าน พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร กับผู้กองธรรมนัส จะยังคง “ปกป้อง-คุ้มครอง” เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ให้ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไปหรือไม่ ปกป้องแบบไม่มีเงื่อนไข หรือปกป้องก็ได้ แต่มีเงื่อนไขอย่างนี้ๆ นะ
ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์สภาล่มบ่อยครั้งในระยะหลัง ที่ส่วนหนึ่งเป็นปฏิบัติการของฝ่ายค้าน แต่อีกส่วนหนึ่งคือการดำเนินการของฝั่งรัฐบาลเอง ที่พรรคใหญ่สุดหรือพรรคพลังประชารัฐบวกพรรคเล็กๆ ภายใต้การดูแลของ ร.อ.ธรรมนัส
และปีนี้ยังต้องมีกฎหมายสำคัญเข้าสภาอีกมาก รวมไปถึงการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ การอภิรายไม่ไว้วางใจ ฯลฯ ลำพังบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์และพวกหยิบมือหนึ่งนอกพรรคพลังประชารัฐ จะต้านทานไหวไหม หากพลังประชารัฐโดยการนำของบิ๊กป้อมกับผู้กองธรรมนัส “ถือไพ่เหนือกว่า”
ดังนั้น เสียงที่ต้องตอบให้ชัดๆ คือ เลือกคนของพลังประชารัฐไปให้ใคร?
2) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยว่า เหตุผลการเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งสำคัญและมีความหมายของจังหวัดชุมพร และเป็นการเลือกตั้งซ่อมแทนนายชุมพล จุลใส หรือสส.ลูกหมี ที่ไปต่อสู้กับระบอบยิ่งลักษณ์ วันนี้นายชุมพลพ้นจากสส. แต่ไม่ได้ทำผิดทุจริต แต่หลุดเพราะไปต่อสู้กับระบบขี้โกง ชาวชุมพรต้องรวมพลังให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าชาวชุมพรรักนายชุมพลเพียงใด มีข่าวว่า อำนาจรัฐโทรมาขู่คนนั้นคนนี้อยากบอกว่าให้โทรมาขู่ตน ตนไม่กลัว อย่างไรก็ตามนายอิสรพงษ์ เป็นคนหนุ่มไฟแรง ทำงานประสานท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ตั้งใจจะมาแก้ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน เรียนดีจบนอก มุ่งมั่นเป็นผู้แทน อยากเห็นชุมพรเป็นประตูภาคใต้ ไม่ใช่เมืองผ่านไปผ่านมา
“อย่ามาโกหกว่า เลือกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว สวัสดิการต่างๆ จะหายหมด ซึ่งไม่จริง เพราะเรายังคงอยู่ร่วมเป็นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะฉะนั้น สวัสดิการเหมือนเดิมทุกประการ เพิ่มเติมคือได้นายอิสรพงษ์เป็นผู้แทน เขาหาว่า ประชาธิปัตย์ไม่จริงใจร่วมรัฐบาล แต่ความจริงคือ พรรคซื่อสัตย์และจริงใจต่อนายกฯประยุทธ์ แต่คนที่พยายามจะล้มพล.อ.ประยุทธ์ คือพวกมันนั่นแหละ” นายชัยชนะ กล่าว
3) เช่นเดียวกับพื้นที่หลักสี่-จตุจักร กรุงเทพมหานคร ที่ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ แม่ยกใหญ่ไทยภักดี ออกมาประกาศชัดเจนว่า ไม่เลือกพลังประชารัฐ มีเนื้อหาดังนี้...
“ปัญหาการอภัยโทษให้นักโทษทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรอันเป็นกฎหมายสูงสุดย่อมกระทำไม่ได้นั้น แต่กลับไม่มีพรรคการเมืองใดในสภา ทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านต่อต้าน ทั้งๆ ที่เป็นผลงานในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมที่นักการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐมนตรี จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พรรคการเมืองในสภาไม่จริงจัง ไม่ใส่ใจในการขจัดปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบแต่กลับอำนวยประโยชน์ช่วยเหลือนักโทษคดีทุจริตประพฤติมิชอบให้ได้รับการอภัยโทษ ลดโทษอย่างมหาศาลโดยกระทรวงยุติธรรมที่เป็นกระทรวงในความรับผิดชอบของพรรคพลังประชารัฐ
ผมต่อต้านอย่างถึงที่สุด ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐที่ผมเคยสนับสนุนอย่างสุดกำลังกลับนิ่งเฉยดูดายปล่อยให้เงียบไป เพราะสังคมไทยเป็นสังคมของคนลืมง่าย ดูง่ายๆ แค่การเลือกตั้งซ่อม สส.หลักสี่-จตุจักร ที่เกิดจากอดีตนักโทษฉ้อโกงทรัพย์แอบลักลอบสมัครเป็น สส.จนถูกตรวจสอบได้และส่งฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจนต้องเลือกตั้งซ่อมใหม่พรรคพลังประชารัฐก็ยังคงดูถูกชาวหลักสี่-จตุจักร ด้วยการส่งภริยาของผู้กระทำความผิดลักลอบเป็น สส.มาให้ประชาชนเลือกซ้ำอีก...พูดง่ายๆดูถูกชาวหลักสี่-จตุจักรฉิบหายเลยนะครับ
ผมเป็นชาวหลักสี่เกือบ 50 ปีแล้ว โดยส่วนตัวแล้ว ผมเคารพรักพี่ป้อมในฐานะที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของผมมานานกว่า 35 ปีแล้ว แต่ผมจำใจเลือกพรรคพลังประชารัฐที่อาศัยพี่ป้อมเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อคุ้มหัวให้นักการเมืองเลวๆอย่างนี้อาศัยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว... ผมทราบดีว่าพี่ป้อมเป็นคนมีเมตตาสูง แต่จะให้ผมน้อมรับไอ้อีพวกรอบข้างอาศัยพี่ด้วยนั้น ผมไม่เอาด้วยครับ
พี่ป้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการให้ประชาชนเลือก...แต่ต่อไปนี้ประชาชนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่ฝืนใจ ไม่จำใจเลือกพรรคพลังประชารัฐ อย่างผมจะเลือกพรรคไทยภักดีเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แทนครับ
ถึงแม้จะเป็นการตัดคะแนนกันแล้วต้องพ่ายแพ้ ก็ยังดีเสียกว่าศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย อย่างผมจำต้องฝืนใจจำใจยินยอมกับพรรคพลังประชารัฐ ผมยังเคารพรักพี่ป้อมเสมอในฐานะผู้บังคับบัญชา แต่ไม่เอาด้วยกับพรรคของพี่ครับ”
4) ทั้งชัยชนะและหมอเหรียญทอง ต่าง “ปลุก” ให้ประชาชน “ตื่น” จากการ “เลือกใครก็ได้” ไปหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อเหตุการณ์มันพัฒนามาถึงจุดที่ “ไม่แน่ชัด” ว่า พลังประชารัฐ โดยบิ๊กป้อมที่ประคองผู้กองธรรมนัสไว้ แบบขัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ “ยังหนุน พล.อ.ประยุทธ์” จริงหรือไม่
การแยก “ปลาไหลกับน้ำแกง” ออกจากกัน จึงปรากฏขึ้นอย่างเข้มข้น ว่า นี่ไม่ใช่เวลาเลือกใครก็ได้อีกต่อไปแล้ว
ถ้ารัก พล.อ.ประยุทธ์ จงรักความซื่อสัตย์ที่ประชาธิปัตย์มีให้ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล จาก-ชัยชนะ
และ “ผมจำใจเลือกพรรคพลังประชารัฐที่อาศัยพี่ป้อมเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อคุ้มหัวให้นักการเมืองเลวๆ อย่างนี้อาศัยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว... ผมทราบดีว่าพี่ป้อมเป็นคนมีเมตตาสูง แต่จะให้ผมน้อมรับไอ้อีพวกรอบข้างอาศัยพี่ด้วยนั้น ผมไม่เอาด้วยครับ” จาก-คุณหมอเหรียญทอง
พล.อ.ประยุทธ์ ถูกใช้เป็นเงื่อนไข “ถ้ารักลุงคิดให้ออกนะว่า ต้องเลือกใคร”
5) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงประเด็นทางการเมืองเกี่ยวกับ
พรรคร่วมรัฐบาลส่งผู้สมัคร สส.แข่งขันกันเอง ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ว่า
เคยเตือนไปแล้วว่า โดยหลักถ้าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเสียที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันก็ไม่ส่งคนลงไปแข่งเพราะสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นการแข่งกันเองในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และไม่ได้เกิดผลดีกับรัฐบาล นอกจากจะเกิดความหมางใจกันถ้ามีแข่งขันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ได้อะไร เพราะได้ที่นั่งเท่าเดิม ที่เสียไปก็เป็นของพรรคร่วม และส่งพรรคร่วมอีกพรรคหนึ่งมาแข่ง ถ้าได้มาก็ยังอยู่ในรัฐบาล รัฐบาลก็คะแนนเท่าเดิม ได้ไม่คุ้มเสีย
“ทั้งหมดนี้ผมได้พูดไปแล้ว และผมไม่ไปตำหนิใคร ไม่ไปตำหนิพรรคที่เขาส่ง เพราะว่าเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าต้องการดำเนินการทางการเมืองแบบนี้ ก็สุดแล้วแต่ เพราะเราจะไปห้ามเขาก็ไม่ได้ แต่มันจะนำมาสู่คำถามที่ถามนี้ แล้วสุดท้ายมันจะไปกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ การทำงานร่วมกันหรือไม่ ซึ่งผมตอบล่วงหน้าไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” นายจุรินทร์ กล่าว
ถามต่อว่า เหตุกระทบกระทั่งกันในการเลือกตั้งอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมืองเร็วขึ้นหรือไม่นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ อย่างที่ตอบไปแล้วว่าเราไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรต่อประเด็นทางการเมืองในเวลานี้ที่อาจส่งผลให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทะเลาะกันเองในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลนายจุรินทร์ กล่าวว่า คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า ถ้าลงไปแข่งกันเอง สุดท้ายมันก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องคาดการณ์ได้
ถามต่อว่า ในการหาเสียงมีการเคลมว่าโครงการ “คนละครึ่ง” เป็นผลงานพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่อยากไปถกเถียงอะไรมาก เพราะมันอยู่ในป้ายหาเสียงเลย คนก็เห็นกันทั้งหมด แต่ตนไม่ไปโต้อะไร เพียงแต่พูดเพื่อให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนนำไปพิจารณาและประกอบการตัดสินใจว่าข้อเท็จจริงคืออะไร นโยบายคนละครึ่งนั้น เป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค เกิดขึ้นช่วงโควิด หรือว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งมาก่อนซึ่งข้อเท็จจริงคือเป็นนโยบายของรัฐบาลผสมชุดนี้ มีทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และอื่นๆ ที่ร่วมกันทำในช่วงโควิด เราก็ให้ข้อเท็จจริง ส่วนประชาชนจะพิจารณาอย่างไรก็สุดแล้วแต่ เพราะเราเป็นนักการเมืองต้องให้ข้อเท็จจริงในหลายๆ ด้าน หลายๆ เรื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลมากที่สุด
6) ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวหัวข้อ “วัฒนธรรมการเมืองภาคใต้พังพินาศ เพราะพรรครัฐบาลแข่งขันกันเอง ชนิดแพ้กันไม่ได้” มีเนื้อหาว่า...
“...วัฒนธรรมการเมืองภาคใต้พังพินาศ เพราะพรรครัฐบาลแข่งขันกันเอง ชนิดแพ้กันไม่ได้ โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งซ่อม เขต 1 จังหวัดชุมพร และเขต 6 จังหวัดสงขลาแล้ว ต้องยอมรับความจริงว่า เป็นการแข่งขันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน คือพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่เดิม กับพรรคพลังประชารัฐ ผู้ท้าชิง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งซ่อมยุคนี้ เพราะสมัยอดีตที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน จะไม่มีการแข่งขันกัน จะให้สิทธิ์เจ้าของพื้นที่เดิม ส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับผู้สมัครของฝ่ายค้าน เพื่อวัดความนิยมจากประชาชน ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคที่เป็นนักการเมืองอาชีพ ก็จะแสดงสปิริต และยึดถือมารยาททางการเมืองเป็นสำคัญ ที่ถือปฏิบัติกันมา ไม่ว่าสมัยพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์, นายบรรหาร ศิลปอาชา, นายทักษิณ ชินวัตร, นายสมัครสุนทรเวช นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนายอนุทินชาญวีรกูล ฯลฯ
แต่การเมืองยุคนี้ เมื่อนายทหารมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ก็อาจจะคิดแบบทหาร ไม่ยึดถือมารยาทยึดหลักกินรวบ รุกคืบไปทุกพื้นที่โดยไม่สนใจความรู้สึกและความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน จึงทำให้มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน แพ้กันไม่ได้ แย่งชิงผลงานของรัฐบาล โจมตีกันเองอย่างดุเดือด ซึ่งย่อมเกิดรอยร้าว ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ และความรู้สึกของพรรคร่วมรัฐบาล ในการร่วมรัฐบาลด้วยกันไม่มากก็น้อย เชื่อว่าเป็นการได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน”
เทพไทยังระบุถึง “วิธี” ที่จะเอาชนะกันไว้ด้วยว่า...
“แต่ที่น่าสลดใจไปมากกว่านั้น ก็คือทำให้สนามการเมืองภาคใต้ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีการใช้เงิน ใช้กลุ่มอิทธิพล และอำนาจรัฐกันอย่างโจ่งแจ้ง และถ้าการเลือกตั้งซ่อม ทั้ง 3 แห่งในพื้นที่ภาคใต้ คือ เขต 3 นครศรีธรรมราช, เขต 1 ชุมพร, เขต 6 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ยึดถือมารยาททางการเมือง ไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันด้วย วัฒนธรรมทางการเมืองในภาคใต้ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างนี้
ตอนนี้เกิดวัฒนธรรมการใช้เงินรุนแรงมาก มีการซื้อเสียงให้ลงคะแนน มีการจ้างให้มาฟังการปราศรัย ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นที่รับรู้กันของคนในพื้นที่ และสื่อมวลชนก็จะได้เสนอข่าวเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่อง แต่คนที่ไม่รู้ว่า มีการซื้อเสียงในการเลือกตั้งซ่อม น่าจะมีเพียง กกต.เท่านั้น”
สรุป : การตัดสินใจส่งผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ การลงพื้นที่อย่างขมีขมันของ “ลุงป้อม” กับ “ผู้กอง” รอบนี้ แม้หากประสบชัยชนะ พา สส.ใหม่เข้าสภาได้ในนามพรรคพลังประชารัฐ และชัยชนะนั้น อาจกลายเป็นความพ่ายแพ้ของ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นได้ เพราะเป็นชัยชนะที่ “ทำลาย” อะไรหลายๆ อย่างบน “ความมั่นคง” ของเก้าอี้...นายกรัฐมนตรี!!
และบางที อาจเป็น “ความจงใจ” ของคนบางคน-ในความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี