สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศค้าอาวุธสงครามเป็นอุตสาหกรรมหลัก เลยมักจะสร้างหนังประเภทคนร้ายถูกถล่มด้วยอาวุธทันสมัยโดยไม่ต้องใช้คน
เมื่อคราวสงครามอิรักราวปี 2531 เพนตากอน ร่วมมือกับทีวีซีเอ็นเอ็นทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ขายโทมาฮอว์กขีปนาวุธพิสัยไกลที่ยิงทำลายฐานที่มั่น แหล่งซุกซ่อนอาวุธนิวเคลียร์ของอิรักในป่าเขาลำเนาไพรในอุโมงค์ลับใต้ดินได้
ทหารสหรัฐยิงโทมาฮอว์กมาหนึ่งนัด ซีเอ็นเอ็น ซึ่งเป็นเครือข่ายทีวี.ที่ถ่ายทอดสดมาจากฐานยิงก็บรรยายถึงประสิทธิภาพการทำลายล้างแต่ครั้งที่ยิงออกมาพร้อมกับคำบรรยายว่าขีปนาวุธทำลายสูงนี้หนึ่งนัดราคากี่แสนดอลลาร์ แต่ผลการสอบสวนที่ออกมาหลังจากสหรัฐอเมริกาถล่มอิรักจนวอดวายไม่ปรากฏว่าประเทศอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด
ในสงครามยี่สิบปีที่สหรัฐยึดครองอัฟกานิสถาน และในทันทีที่ถอนตัวออกมากองทัพสหรัฐฯกลัวผู้ก่อการตลบหลังจึงวางกำลังไว้รอบสนามบินในกรุงคาบูลถึง 1,600 นายแต่ไม่วายถูกผู้ก่อการร้ายที่เรียกว่าไอเอส-เค วางระเบิดพลีชีพทำให้คนตายไป 76 ศพ ในจำนวนนี้มีทหารอเมริกันตายไป 13 คน
กองทัพสหรัฐประกาศตามล่าผู้ก่อการร้ายกลุ่มที่ลอบวางระเบิดฆ่าตัวตายที่สนามบินคาบูลด้วยการใช้อาวุธทันสมัย เป็นเครื่องบินไร้คนขับที่เรียกว่า “โดรน” เพียงหนึ่งอาทิตย์สหรัฐใช้โดรนทันสมัยติดตามจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายได้ แล้วใช้โดรนยิงขีปนาวุธทำลายรถของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่เรียก ว่า“ไอเอส-เค”ทันที
สหรัฐออกข่าวครึกโครมว่าโดรนอันทรงประสิทธิภาพของกองทัพอเมริกาสามารถแก้แค้นให้ 76 ชีวิตที่ตายคาสนามบินคาบูลได้แล้ว แต่สองอาทิตย์ต่อมาผลการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมอเมริกาและตาลิบันยืนยันว่าเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ถูกโดรนอเมริกาทำลายเป็นรถชาวบ้านธรรมดาที่พาครอบครัวออกไปทำธุระถูกโดรนทำลาย ตายทั้งสิบคนรวมทั้งเด็กอายุ 4 ถึง 7 ปีสามคน
กองทัพอเมริกาออกมาแถลงหน้าตาเฉยว่าเป็นการบกพร่องโดยสุจริตและจะชดใช้ค่าเสียหายให้แต่จนบัดนี้ยังไม่จ่ายให้แม้แต่เหรียญเดียว
ยกเรื่องนี้มาเล่าเพราะต้องให้เป็นอุทาหรณ์แก่สื่อหัวล้านหัวดำหัวขาวในประเทศไทยที่ทำข่าวจนจะแก่ตายแล้วยังบ้าตามสงครามน้ำลายของอเมริกา ที่ตั้งใจว่าจะปั่นกระแสจากน้ำลายให้กลายเป็นสงครามกลางเมืองในเมียนมาให้ได้ โดยสร้างภาพให้เห็นถึงความโหดร้ายของทหารเมียนมาว่าฆ่าผู้ประท้วงต่อต้านรัฐทหารตายไปแล้วกว่า 1,400 คนและทหารเมียนมาที่โหดร้ายยิงถล่มทำลายเผารถโดยสารที่บรรทุกชาวบ้านเผ่าพันธุ์คะยาตายทั้งเป็น 35 คนรวมทั้งเด็กห้าขวบ
เราเคยไปทำข่าวทหารคะยากับช่างภาพคู่ใจในรัฐคะยาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนตอนนั้นคะยาคุยว่ายึดฐานที่มั่นน้ำเพียงดินของทหารเมียนมาได้พวกเรานั่งเรือล่องไปทางแม่น้ำปายเข้าไปถึงพบว่าฐานที่ว่านั่นเป็นเพียงกระท่อมเก่าๆ เพียงหลังเดียวและมีทหารคะยายืนถือปืนยาวอยู่สี่ห้าคน
ชาวคะยาที่เกาะติดตามแนวชายแดนเมียนมา-ไทยส่วนใหญ่เดินลัดเลาะมาทางป่าดงดิบจากชุมชนที่เรียกว่าเมือง“ลอยเกาะ” พวกเขาเดินป่ามาอยู่กระจัดกระจายตามชายแดนไทย-เมียนมาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน จนสุดท้ายยูเอ็นเอชซีอาร์ ร่วมมือกับหน่วยงานมั่นคงไทยจัดศูนย์พักพิงให้อยู่ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา
ในห้วงเวลา 25 ปีที่ผ่านมา ชาวคะยาถูกนำมารวมอยู่แห่งเดียวกันที่ศูนย์พักพิงบ้านแม่สุริน อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 6,000 คน ขอยืนยันว่าในห้วงเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมาคะยาไม่มีกำลังทหารไม่เคยรบกับกองทหารเมียนมา และเส้นทางจาก “ลอยเกาะ” หมู่บ้านใหญ่ของคะยามาถึงชายแดนไทยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไม่มีถนนมีแต่ทางเกวียน และเราเชื่อด้วยประสบการณ์และสัญชาตญาณว่ารัฐบาลกลางเมียนมาไม่มีวันพัฒนาทางเกวียนในป่าขึ้นมาเป็นถนนลาดยางได้ ดังนั้นภาพที่รถยนต์โดยสารบรรทุกผู้โดยสารได้ 35 คนแล้วถูกเผาทำลายไม่ทราบว่าภาพมาจากไหน แต่ไม่ใช่ภาพจากถนนลูกรังทางเกวียนจากลอยเกาะมุ่งหน้ามาชายแดนไทยแน่นอน
เพื่อให้แน่ใจว่านี่คือเรื่องที่อดีตทหารอเมริกันปั่นข่าวขึ้นมา ผู้เขียนโทรศัพท์ไปหานายพลบี ทู ชาวคะยา ที่อเมริกันอุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นผู้บัญชาการทหารคะยา ซึ่งกำลังบัญชาการรบกับทหารเมียนมาอยู่ในลอยเกาะ
คนรับโทรศัพท์บอกว่านายพลบี ทู กำลังรับประทานอาหารขอให้ผู้เขียนโทรกลับอีกหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อเราโทรกลับไปผู้ที่รับโทรศัพท์บอกว่านายพลบี ทู เข้าไปทำธุระในเมืองแม่ฮ่องสอนแล้ว แต่ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านในอำเภอขุนยวม
จากการสอบถามผู้ที่รับโทรศัพท์ทราบว่านายพลบี ทูไม่ได้เข้าไปลอยเกาะในรัฐคะยามานานแล้ว และจากการสอบถามไปยังผู้สื่อข่าวที่เราเคยจ้างให้เขาส่งข่าวให้เราเป็นชิ้นๆ เมื่อครั้งยังทำงานกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส และทุกวันนี้เขาเป็นผู้สื่อข่าวคนเดียวในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ส่งข่าวเรื่องคะยาให้สำนักข่าวต่างประเทศและ นสพ.ไทยหลายฉบับเขายืนยันกับผู้เขียนว่าได้รับข่าวจากนายพลบี ทู ทุกเช้าถึงความคืบหน้าสถานการณ์การรบในลอยเกาะที่กำลังรุนแรง
เมื่อถามว่าตอนนี้นายพลบี ทู ยังบัญชาการรบอยู่ไหม เขาบอกว่านายพลบี ทูเข้าเขตแดนเมียนมาไม่ได้ตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. เพราะทหารเมียนมาปิดเส้นทางทั้งหมด ถึงตอนนี้อยากบอกคนข่าวหัวล้านหัวดำหัวขาวที่ยังบ้าตามปฏิบัติการข่าวของฝรั่ง ที่อุปโลกน์ให้หัวหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยว่ากำลังบัญชาการรบกับทหารเมียนมาอยู่ในป่านั้น แท้จริงแล้วพวกเขาทำสงครามด้วยน้ำลายอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่แม่สอด จังหวัดตาก อำเภอแม่สะเรียง และที่ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ หรือที่บ้านยาง จังหวัดเชียงราย คนข่าวหัวล้านหัวดำหัวขาวถ้าอยากรู้พิกัดและเบอร์กลุ่มชาติพันธุ์ที่รับจ้างฝรั่งปั่นกระแสสงครามเมืองในเมียนมาให้ติดต่อมาทางหลังไมค์กับผู้เขียนได้
ขอยืนยันอีกครั้งว่ากองกำลังชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยงเคเอ็นยู กองกำลังทหารคะยา หรือแม้แต่ไทยใหญ่ (ไตใหญ่ใต้ SSA) ไม่มีศักยภาพที่จะสู้รบกับทหารเมียนมามาตั้งแต่ปี 2549 และถึงมีกำลังก็ทำไม่ได้เพราะฝ่ายมั่นคงไทยไม่ยอม
ดังนั้นข่าวการสู้รบระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กับทหารเมียนมาใกล้ชายแดนไทยไม่มีจริง ข่าวทั้งหมดเป็นชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาสร้างกระแสขึ้นมาอุปโลกน์ทหารกะเหรี่ยง ทหารคะยาที่หมดสภาพแล้วขึ้นมาเป็นตุ๊กตาไขลานปั่นกระแสรายวัน
แต่ก็ยอมรับว่าการปราบปรามตามล่าของทหารเมียนมาต่อกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People Defense Force=PDF) ของอดีตนักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีในเครือข่ายของนางออง ซาน ซู จี มีจริงแต่เป็นการสู้รบที่เรียกได้ว่า “ทหารตามล่าผู้ก่อการร้าย” ไม่ใช่สงคราม เพราะ PDF ส่งคนหนุ่มสาวและอดีตนักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีเข้าไปฝึกอาวุธกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในเขตสะกาย แล้วกลับออกมาก่อการร้ายวางระเบิดทำลาย ลอบสังหารคนที่สงสัยว่าเป็นให้ทหาร แต่เหตุการณ์เหล่านั้นมันเกิดขึ้นในเขตสะกายเขตมัณฑะเลย์ห่างชายแดนไทย และในรัฐชินซึ่งอยู่ติดกับชายแดนอินเดีย
อาจมีบ้างที่กองกำลัง PDF หนีมาพึ่งพาชาวบ้านคะยา พึ่งกะเหรี่ยงเคเอ็นยู และถูกทหารเมียนมาตามล่าแต่ PDF เหล่านั้นอยู่ในเมืองผาปูนของกะเหรี่ยงและเมืองลอยเกาะรัฐคะยาซึ่งไกลจากชายแดนไทยมาก ดังนั้นเสียงปืนที่ได้ยินใกล้ชายแดนไทยเชื่อว่ามีกะเหรี่ยงหรือคะยารับจ้างให้สร้างสถานการณ์ขึ้นมาแล้วให้ชาวกะเหรี่ยงหรือคะยาสี่ห้าสิบคนลุยน้ำข้ามแดนมาบ้างขึ้นบรรทุกมาบ้างมุ่งหน้ามาประเทศไทย ไม่ใช่สงครามจริง
นายปรัก สุคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาแถลงข่าวหลังจากร่วมเดินทางเยือนเมียนมากับฮุนเซน นายกฯกัมพูชาว่า “การพบปะเจรจากับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและมีความหวังว่าฉันทามติห้าข้อของอาเซียนจะคืบหน้าเมื่อกัมพูชาเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน
นายปรัก สุคน ยังกล่าวด้วยว่า“หากผู้ใดคัดค้านความก้าวหน้าของการเจรจาเหล่านี้คงเป็นเพียงผู้ที่ชอบสงครามผู้ที่ไม่ต้องการเห็นเมียนมากลับสู่ความมั่นคงและสันติสุข”
คำพูดของนายปรัก สุคนในฐานะทูตพิเศษอาเซียนจะส่งสัญญาณไปถึงใครไม่ได้นอกจาก “สหรัฐอเมริกา และกลุ่มต่างๆที่ถูกอเมริกาใช้ให้สร้างความวุ่นวายในเมียนมาเวลานี้”
ส่วนสถานการณ์ในเมืองหลวงเมียนมาสำนักข่าวเอฟพีรายงานว่าเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มกราคม ศาลพิเศษของรัฐบาลทหารเมียนมาในกรุงเนปิดอว์มีคำพิพากษาคดีนางออง ซานซู จี โดยตัดสินว่านางมีความผิด 2 ข้อหา ตามกฎหมายส่งออกและนำเข้า และตัดสินจำคุกนาง 2 ปี ฐานนำเข้าและครอบครองวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต กับอีก 1 ปีฐานครอบครองอุปกรณ์รบกวนสัญญาณ
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม นางถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นและฝ่าฝืนกฎควบคุมไวรัสโควิด-19 ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งแต่ต่อมาพลเอกมิน อ่อง หล่าย อภัยโทษให้เหลือโทษจำคุก 2 ปี โดยให้รับโทษด้วยการกักบริเวณที่บ้านในกรุงเนปิดอว์
นางออง ซาน ซู จี ยังต้องสู้คดีในศาลอีก 7 ข้อหา และข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดคือรับสินบนและสมคบกันคอร์รัปชั่น ที่พยานปากเอกให้การต่อศาลว่านางออง ซาน ซู จี รับสินบนจากเขาเป็นทองมูลค่า 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ และคดีสมคบกับต่างชาติละเมิด ก.ม. ความมั่นคงขายความลับทางราชการ
แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์การเมืองชาวเมียนมากล่าวว่าถึงแม้ข้อหาจะร้ายแรงเพียงใดนางออง ซาน ซู จี ถูกศาลตัดสินจำคุกนานกี่สิบปี พอเลือกตั้งครั้งต่อไปเสร็จและพรรคการเมืองโปรทหารได้เป็นรัฐบาล นางออง ซาน ซู จีก็จะได้รับการอภัยโทษโดยไม่ต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียว
“ตั้งแต่ถูกยึดอำนาจ จนถึงวันนี้นางออง ซาน ซู จียังคงใช้ชีวิตเป็นปกติอยู่ในบ้านพักส่วนตัวแวดล้อมด้วยสมุนบริวารคนใกล้ชิด มีสิ่งอำนวยความสะดวกเธอไม่ได้ถูกคุมขัง (Detained) ดังที่ฝรั่งกล่าวหา”
จึงพูดได้ว่าวิกฤตในเมียนมาเป็นสงครามน้ำลายที่อเมริกาและตะวันตกปั่นกระแสให้เป็นสงครามกลางเมืองให้ได้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี