12,241,505 คน เป็นจำนวนของ “ผู้สูงอายุ” หรือผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ณ เดือนธันวาคม 2564 ตามข้อมูลจาก สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ซึ่งหากเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกันคือ 66,171,439 คน สัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรไทยทั้งหมดจะอยู่ที่ร้อยละ 18.4 เท่ากับประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะ “สังคมสูงวัย(Aging Society)” ที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป และใกล้เข้าสู่ความเป็น “สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged Society)”ที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป
ภาวะสังคมสูงวัย ดูจะเป็นหนึ่งในปัญหาของประเทศที่มีการพัฒนาไปพอสมควรทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์และสวัสดิการทางสังคมทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนในประเทศนั้นยืนยาวขึ้น แต่ประชากรหนุ่ม-สาววัยทำงานกลับมีลูกน้อยลงหรือไม่มีลูก หรือไม่แม้แต่แต่งงานมีคู่ครอง แม้หลายประเทศรัฐบาลจะพยายามออกสารพัดมาตรการจูงใจก็ตาม ทำให้อัตราการเกิดลดลง ส่งผลไปถึงการขาดแคลนกำลังแรงงานที่ต้องมารับช่วงต่อดูแลสังคมหรือประเทศชาติ
เมื่อการกระตุ้นให้คนอยากมีลูกนั้นเป็นไปได้ยากมาก “การทำให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองได้”จึงเป็นทางออกที่ดูจะเป็นไปได้มากกว่า เช่น การปรับปรุงสภาพแวดล้อมตั้งแต่ที่พักอาศัยไปจนถึงพื้นที่สาธารณะให้ปลอดภัยและเอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ รวมถึง “การช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัล” ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งโอกาสการทำงานมีรายได้เลี้ยงตนเอง การเข้าถึงบริการต่างๆ ที่รัฐจัดให้ และไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในขณะที่เด็ก เยาวชน และคนหนุ่ม-สาววัยทำงานกำลังก้าวไปข้างหน้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ
“ผู้สูงอายุมีจุดอ่อนอะไรในการที่จะใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งก็คือใช้โทรศัพท์บวกคอมพิวเตอร์เล็กๆ รวมกันเป็นเครื่องเล็กๆ อันที่หนึ่งผมคิดว่าผู้สูงอายุเห็นว่าเทคโนโลยีนี้มันเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ สัก 10 กว่าปี มันมาทีหลังที่เราอายุมากแล้ว เพราะฉะนั้นการเรียนรู้เทคโนโลยีที่มันมารวดเร็วแล้วมันมาหลังๆ นี่มันไม่ง่าย ผมเองเป็นผู้สูงอายุ อายุ 70 กว่า ผมก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ง่าย”
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประธานกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานด้านการขับเคลื่อนนโยบายรับมือสังคมสูงวัยมาอย่างต่อเนื่อง กล่าวในการประชุม (ออนไลน์) เรื่อง “การเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้สูงอายุไทย” เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยภายในงานนั้นมีการกล่าวถึงการศึกษาว่าด้วยทักษะ ทัศนคติ อุปสรรค และความต้องการของผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน” ถึงจุดอ่อนในการปรับตัวของผู้สูงอายุ
นอกจากนั้น ผู้สูงอายุยังมีจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งคือ “การไม่กล้ากดปุ่มเครื่องมือต่างๆ” ซึ่งเป็นความเคยชินที่ติดตัวมาจากยุคก่อนหน้า ที่การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหากกดปุ่มผิดๆ ถูกๆ อาจทำให้เครื่องนั้นชำรุดเสียหายได้แต่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในสมัยใหม่สามารถกดกลับไป-มาได้และหากทำบ่อยๆ ก็จะเกิดการเรียนรู้จนทำได้ในที่สุด ทั้งนี้ เมื่อวิธีคิดแบบเดิมไม่สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็นต้องใช้ หรือหนักไปกว่าคือถึงขั้นต่อต้านเทคโนโลยี
“ผู้สูงอายุที่มีปัญญา คือเรียนจบสูงๆ รุ่นก่อนผมรุ่นผม ผมเจอไม่น้อยเลย ต่อต้านเลย หนึ่งต่อต้านว่าพวกนี้เสียเวลานั่งเล่นเกมทั้งวัน นั่งกดทั้งวัน เขาไม่เข้าใจหรอกว่าทำอะไรกันในนั้นแต่ว่าเริ่มด่าคนเล่นว่ามันเล่นเกม แล้วก็ลึกๆ ก็กลัวเสียหน้าด้วย เพราะคนอื่นเขาเล่นกันมากขึ้นๆ เขาใช้มือถือ เราใช้ไม่เป็น แล้วพอเขามีคำแปลกๆ มาเรายิ่งเสียหน้า ส่งอีเมล (E-Mail : จดหมายอิเล็กทรอนิกส์) อะไรวะอีเมล?
ไว-ไฟ (Wi-Fi : อินเตอร์เนตไร้สาย) มีไหม? ไม่รู้เรื่อง! เปิดแอปพลิเคชั่น (Application : โปรแกรมใช้กับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน) สิ! เปิดไลน์ (Line :แอปพลิเคชั่นส่งข้อความสนทนา) สิ! ส่งรูปไปให้ได้ดูหรือเปล่า? โอ๊ย!ยิ่งเสียหน้าใหญ่เลย ทีนี้ยิ่งแอนตี้หนักเข้าไปอีก ว่าพวกนี้เสียเวลา ไม่ได้เรื่องทั้งวัน ผมคิดว่าต้องเห็นใจผู้สูงอายุ” อาจารย์เจิมศักดิ์ กล่าว
อาจารย์เจิมศักดิ์ ฝากข้อคิดเรื่องการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้าใจและใช้เทคโนโลยีได้ 1.ต้องให้เห็นประโยชน์และมีใจอยากใช้ก่อน โดยยกตัวอย่างตนเองสมัยที่เริ่มหัดใช้อีเมลใหม่ๆ นั้น เหตุผลมาจากความคิดถึงลูกที่เรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศ พร้อมกับนึกย้อนไปสมัยที่ตนเองเรียนหนังสือที่ต่างประเทศเช่นกัน ว่ากว่าที่จะได้รับจดหมายแบบดั้งเดิมจากเมืองไทยต้องใช้เวลานานหลายวัน “ลูกอยู่ไกล ครอบครัวอยู่ไกล
คนอื่นใช้เป็นทำไมเราใช้ไม่เป็น? และการใช้เป็นเราก็ได้ประโยชน์” เมื่อคิดเช่นนี้ได้ก็จะนำไปสู่ความอยากเรียนรู้
กับ 2.การเรียนรู้จะได้ผลต้องเป็นการลงมือทำเท่านั้น การเปิดหลักสูตรโดยเน้นการฟังหรือดูนั้นไม่เกิดประโยชน์ หากไม่ลงมือทำสักพักก็ลืม เรื่องนี้ไม่เฉพาะผู้สูงอายุ แม้แต่คนวัยหนุ่ม-สาวก็เช่นกัน “เรียนรู้จากการลงมือทำ แล้วเมื่อทำบ่อยๆ ก็จะเกิดการจดจำ”หรือแม้แต่เคยเรียนรู้แล้วแต่พอไม่ได้ใช้นานๆ ก็ลืมได้อีกต้องมีการเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ และ 3.ผู้สอนที่ดีที่สุดคือคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกหรือหลาน
“ยิ่งสังคมสูงวัย ถ้าคนใกล้ชิดได้ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ ตัวเองจะเริ่มเรียนรู้จากผู้สูงอายุด้วย แล้วต่อไปตัวเองจะนึกถึงตัวเองในอนาคตด้วย มันจะได้ประโยชน์หลายอย่าง” อาจารย์เจิมศักดิ์ ฝากข้อคิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี