เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ.ครั้งที่1/2565 ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยใช้เวลาประชุม 2 ชั่วโมง 15 นาที ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีปฏิเสธตอบคำถามสื่อมวลชน โดยกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “สวัสดีจ๊ะ เดี๋ยวรอฟังจาก press release มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นแหละ”
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในช่วงท้ายก่อนจบการประชุม ศบศ.นายกฯได้เปิดเพลง “อย่ายอมแพ้”ของอ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์ จากโทรศัพท์มือถือ ในที่ประชุมพร้อมกล่าวกับที่ประชุมว่า “ผมไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว เพลงเป็นเรื่องการให้กำลังใจทุกคนที่ร่วมทำงาน ไม่แพ้ต่อปัญหาอุปสรรค เช่นเดียวกับ นายกฯไม่เคยยอมแพ้ ทำงานเพื่อชาติและประชาชน”
อย่างไรก็ตาม การเปิดเพลงอย่ายอมแพ้ ของ พล.อ. ประยุทธ์ครั้งนี้ คาดว่าต้องการแสดงความชัดเจนของตัวเองในการเดินหน้าทำงานในหน้าที่ต่อ แม้จะเกิดวิกฤตทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดเเย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส เดินเกม “ขับตัวเอง” ออกจากพรรคพลังประชารัฐ (ซึ่งรอดูขั้นตอนตามกฎหมาย ว่าถูกต้องตามระเบียบหรือไม่)
อ่านข่าวนี้แล้ว อดอมยิ้มไม่ได้ และมิตรรักแฟนคลับของ “ลุงตู่” คงจะมีกำลังใจ ที่เห็นแอ๊กชั่นนี้ของลุง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องคิดมีอยู่ 2 ประการ คือ
1.ไม่ยอมแพ้ ไม่ได้แปลว่าจะไม่แพ้ถมเถไปที่ไม่ยอมแพ้แต่ก็แพ้
2.ดังนั้น ไม่ยอมแพ้แล้วจะทำอะไรไม่ให้แพ้
นั่นต่างหาก สำคัญกว่าการเสพฉากแอ๊กชั่นบันเทิงฉากนี้
1) หากจะแพ้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะแพ้ใคร หรือแพ้อะไร
นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค หัวข้อ “ขบวนองครักษ์เสื้อทอหนาว!!!” ความว่า...
“...แผนถีบธรรมนัสไปโดดเดี่ยวนอกสภาคนเดียวเหลวเป๋ว
กลุ่มธรรมนัสกลับเติบโตท่ามกลางเสียงเชียร์ของฝ่ายค้าน และผู้เดือดร้อนทุกข์เข็ญทั้งหลายทำให้รัฐบาลเสียเสียงไปฟรีๆ 20 เสียงมีสภาพร่อแร่เต็มที่
...เมื่อวานนี้ ก็เสีย สส.พรรคเล็กอีก 9 คน ที่ประกาศเข้าร่วมกับกลุ่มธรรมนัสแล้วและอย่าคิดว่า ใน พปชร.นั้นยังไม่มีเชื้อใยอยู่ อีกแล้วอย่างน้อยอีก 25-40 คนครับ!!!
...การที่องครักษ์เสื้อทองเริ่มเคลื่อนกระแสให้ลุงป้อมลาออกนั้น
...ลองขยับให้แรงอีกหน่อย ก็จะรู้ว่าไผเป็นไผ!!!
...ลุงตู่ไปคุยกับลุงป้อมเมื่อเย็นวานนี้ตามประสาพี่น้อง หลังจากแถลงข่าวด้วยท่าทีหงอยๆ และไม่ยอมตอบคำถามว่า จะมีการปรับครม.หรือไม่อีกหน่อยก็คงรู้ว่าเป็นจั๋งใด๋!!!...”
2) หากไล่ไทม์ไลน์ดู จะพบว่า...
20 ม.ค.2565 วันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ“...ก่อนการประชุม ศบค. ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ หลังพรรคพลังประชารัฐ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว เพียงแต่หันหน้ามามองกลุ่มผู้สื่อข่าวพร้อมเลิกคิ้ว ก่อนเดินเข้าห้องประชุม ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์มีสีหน้าเนือยๆ...”
จากนั้น ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ ภายหลังเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ว่าเรื่องการเมืองตนเคยพูดเสมอว่า ตนเคารพในกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน มีความรับผิดชอบในภาพรวม
“และผมก็เข้ามาด้วยกระบวนการตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ โดยถูกเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลเสนอชื่อผมขึ้นมา ผ่านการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ซึ่งหลายคนไปบิดเบือนว่าสว.สืบทอดอำนาจให้ผมนั้น ถามว่าหากพรรคไม่มีคะแนนเสียงมากพอแล้วจะเสนอชื่อผมได้หรือไม่ ดังนั้นใคร หรือ พรรคใดคะแนนสูงแล้ว เสนอรายชื่อนายกฯ สว.ก็คงไม่มีปัญหาซึ่งย้ำว่าผมยอมรับกติกาทุกอย่าง จึงอย่าเอาการเมืองมาพันทุกเรื่อง”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่าสส.พะเยา ถูกมติพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ขับพ้นพรรคพร้อม สส.จำนวน 20 คนว่าเป็นเรื่องของที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรค ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของพรรคดำเนินการ เชื่อว่าเป็นการต้องการทำให้สถานการณ์ปกติให้มากที่สุด โดยทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับประชาชน ที่ต้องมองใครเป็นอย่างไร ดังนั้น ขอให้ติดตามพฤติกรรมของแต่ละคนด้วย ซึ่งตนไม่ได้กล่าวว่าใครดีไม่ดี แต่พฤติกรรมจะเป็นตัวกำหนด และให้ประชาชนคัดกรองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตนไม่ได้คิด จะดำเนินการในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)หรือยุบสภาอะไรต่างๆ โดยเฉพาะขณะนี้ กฎหมายก็ยังไม่เรียบร้อย จึงอย่าเอาทุกอย่างมาตีทั้งหมด
เมื่อถามว่าสรุปแล้วชัดเจนใช่หรือไม่ว่า จะไม่ปรับครม.ในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว และ เมื่อถามอีกว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯหัวหน้าพรรค พปชร.ได้ส่งสัญญาณอะไรมาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ส่งความรักความปรารถนาดีให้กัน เคารพซึ่งกันและกัน” ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าด้วยสีหน้าเนือยๆ
ต่อมา มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเข้าพบหารือกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯโดยคาดว่าเป็นการหารือถึงปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ภายหลังจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา พรรรคพลังประชารัฐ ถูกขับพ้นพรรคพร้อมสส.จำนวน 20 คน ที่อาจส่งผลกระทบต่อรัฐบาล โดยนายกฯ ใช้เวลาพูดคุยส่วนตัวกับพล.อ.ประวิตร ระยะหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับบ้านพัก
3) 21 มกราคม 2565 น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ภาพ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ว่า “สื่อหยุดเขียนหยุดวิเคราะห์หน่อย เพราะทุก..อย่าง..คือ #บัญชา ที่..ทุก...ฝ่าย..ในพรรค เห็นด้วย น้อมรับ และปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ”
5) ครับ, ใครก็อ่านเกมออก ว่างานนี้ มี “กระบวนการจัดการ” เป็นการ “จงใจ” ทำให้เกิดแกะรอยได้จาก
“...ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และ สส.ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อเย็นวันที่ 19 ม.ค. เพื่อลงมติขับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และเลขาธิการพรรค กับ สส. รวม 21 คน ออกจากพรรคนั้น มีรายงานว่า 1 ในแกนนำของพรรคที่คัดค้านการลงมติขับ ร.อ.ธรรมนัส กับพวก คือ นายนิโรธ สุนทรเลขา สส.นครสวรรค์ และประธานวิปรัฐบาล เพราะเกรงว่าจะดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความผิด และไม่มีความผิดเชิงประจักษ์กลัวพรรคจะได้รับผลกระทบจนถูกยุบ นายนิโรธจึงสอบถามที่ประชุมว่า เหตุผลในการขับออก เพราะอะไร ร.อ.ธรรมนัส จึงพูดขึ้นมาว่า ข้อหาที่ต้องขับคือ ภายในพรรคมีความขัดแย้งมาโดยตลอด จนไม่สามารถบริหารงานได้
ขณะที่นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรค คนสนิทของ ร.อ.ธรรมนัส ได้พยายามยกเหตุ 3 เรื่องตามข้อบังคับของพรรคให้ขับได้ แต่อย่างไรก็ดี ยังมีสมาชิกหลายคนแสดงความกังวลในประเด็นที่นายนิโรธท้วงติง ทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค สั่งการให้มีการโทรศัพท์สอบถามจากเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยเจ้าหน้าที่ กกต.ได้อ่านระเบียบในการดำเนินการขับสมาชิกพ้นพรรคต้องอาศัยมติที่ประชุมร่วม กก.บห.และสส. โดยใช้เสียง 3 ใน 4 พล.อ.ประวิตรจึงเรียก กก.บห. แยกไปประชุมอีกห้องหนึ่งเพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบ กกต. จากนั้นหลังประชุมเสร็จได้ออกมาสอบถาม สส.โดยการให้ยกมือว่าเห็นด้วยกับการขับ ร.อ.ธรรมนัส กับพวกหรือไม่ ซึ่งมีเห็นด้วยกว่า 30 คนงดออกเสียง 19 คน และไม่เห็นด้วย 1 คนคือ นายนิโรธ จนต้องมีการโหวตกันใหม่เพื่อให้เสียงผ่านตามเกณฑ์
โดยระหว่างก่อนจะโหวตรอบที่สอง ร.อ.ธรรมนัส ได้เดินโน้มน้าว สส.แต่ละคน เพื่อให้ลงมติขับแต่ยังมี สส.บางส่วนลังเลอยู่ แม้เจ้าหน้าที่ กกต.จะอธิบายแล้ว เพราะมองว่าเป็นเพียงเสียงโทรศัพท์ ไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร กระทั่งช่วงหนึ่ง พล.อ.ประวิตร ต้องพูดว่า “มันจะออกก็ออกๆ ไป พรรคจะได้สงบ” ส่งผลให้ สส.ที่ลังเลอยู่ เกรงใจ จึงลงมติให้ขับออก ขณะที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และรองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า “ต้องรีบทำให้เสร็จๆ จะได้จบๆ”
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และกก.บห. และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และกก.บห. ได้ลงมติงดออกเสียง เนื่องจากกังวลเรื่องข้อกฎหมายในอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในที่ประชุมช่วงหนึ่ง สส.คนสนิทของ ร.อ.ธรรมนัส รายหนึ่งได้พูดว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะปัญหาตำแหน่งรัฐมนตรี ทำไมไม่แต่งตั้ง” ส่วน ร.อ.ธรรมนัสได้ถามรัฐมนตรีที่มีปัญหากับตนเองว่า “ตอนนั้นทำไมถึงล่าชื่ออยากขับผมออกไป แต่ตอนนี้ทำไมไม่ถึงขับผม...”(ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)
6) เราจะอ่านเกมนี้ได้ว่าอย่างไรผมอ่านว่า-สถานะของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำลังย่ำแย่ หลังควงคู่ ร.อ.ธรรมนัส ไปแพ้เลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร-สงขลา
เช่นเดียวกับสถานภาพของพรรคพลังประชารัฐที่มิตรรักแฟนคลับของลุงตู่เริ่ม “แยกปลาไหลออกจากน้ำแกง” จากเดิมที่เคยซดโฮกๆ เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง คือ ไม่กินเหี้ย แต่กินไข่เหี้ย ไม่กินปลาไหล แต่ยอมกินน้ำแกง ไม่ชอบนักการเมืองพวกนี้หรอก แต่อยากให้ลุงตู่เป็นนายกฯ เลยต้องเลือกนักการเมืองพวกนี้พอนักการเมืองพวกนี้เหิมเกริมกับลุงตู่ คิดจะโค่นลุงตู่ เป็น “หอกข้างแคร่”ของลุงตู่ ก็เริ่มมีปฏิบัติการ “ขึ้นรูปความคิด” ในทำนองว่าถ้าเลือกตั้งซ่อมแพ้ อย่ามาโทษลุงตู่ว่ากระแสนิยมตกต่ำนะเป็นเพราะพวกเธอ พรรคเธอ ไม่ใช่เพราะลุงตู่บวกกับไลน์หลุดของกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น ที่มีแรมโบ้ เสกสกลอัตถาวงศ์ ไปกดไลค์ เมื่อถามว่า ควรทำโพลล์สำรวจว่าแพ้เลือกตั้งซ่อมเพราะธรรมนัสหรือไม่ ปฏิบัติการ “จับหมาแยกคอก” จึงเกิดขึ้น
7) มีที่ไหน ที่คนอยากออก ต้องล็อบบี้ให้ลงมติขับออกเมื่อธรรมนัสดีดตัวออกไป พรรคพลังประชารัฐก็ต้องหา“ผู้หื่นกระหายจะเป็นใหญ่” ขึ้นมาทดแทน และสร้างพรรคต่อไปด้วยเหตุที่ธรรมนัส “หมดใจ” จะทุ่มเทต่อแล้ว เพราะทุ่มเทไปก็ไม่มีใครชื่นชม นายกฯ ก็ไม่เห็นค่า หมาในคอกเดียวกันก็จ้องจะแว้งกัด และไม่อาจหาเสียงด้วยการโฆษณาคุณงามความดีของ “ลุงตู่” ได้สู้แยกออกไปทำพรรคตัวเองเสียดีกว่า สส.ในมือก็เยอะแยะ แล้วจะต่อรองเอาเก้าอี้รัฐมนตรีวันนี้หรือวันหน้า ก็ค่อยมาตกลงกัน เพราะ“วันพระไม่ได้มีหนเดียว”
8) การเดินหมากการเมืองด้วยการ “แยกบ้านกันอยู่”ระหว่างลุงตู่กับพลังประชารัฐ คือ “ปัญหา” ครับจะใช้เขาเป็นฐานการเมืองเพื่อมา “ดีอยู่คนเดียว” ไม่ได้หรอกจะเห็นเขาเป็นแค่ “พลทหาร” หรือ “ทหารเกณฑ์” ที่มีหน้าที่แค่ทำครัว ทำสวน ซักผ้า ถูบ้าน เลี้ยงไก่ ส่งคุณนายจ่ายตลาด ไม่ได้หรอกมันต้องมองกันเป็น “หุ้นส่วน”และ “ให้โอกาสทำงาน” โอกาสสร้างชื่อ สร้างพรรคให้โดดเด่นเพื่อ “ชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป” จะอาศัยกระแสลุงตู่ ราวกับ “พระศรีอาริย์ลงมาโปรดบ้านเมือง” อยู่ตามลำพัง ได้เหรอ? ลุงตู่ไม่มองมุมนี้ไง ลุงเล่นปั้นปึ่ง หมางเมิน จนเวลาไปปราศรัยหาเสียง พรรคพลังประชารัฐเลยไม่รู้จะชูอะไรให้เป็นผลงานโดดเด่นที่คนจะเลือกการแยกกันอยู่ จึงถูกยกระดับเป็น “แยกพรรค” กันซะ เพื่อจะได้หันมา “ปรับหมากการเมือง” ใหม่
9) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร วิเคราะห์ว่า 1.ไลน์หลุดของสุชาติ เป็นการเผยแพร่ของคนฝั่งธรรมนัสเอง2.ท่าทีไม่พอใจ ถึงขั้นต้องยกทีมลาออก หรือขอให้พรรคขับออก โดยใช้ข้อต่อรองตำแหน่ง รมต. จึงเป็นสคริปต์ที่เขียนโดยฝั่งธรรมนัส3.การที่พรรคยอมปล่อย สส.ถึง 21 คน ออกจากพรรคโดยไม่เหนี่ยวรั้ง ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ หรือเพียงแค่ประโยคว่าอยู่ไปก็ไม่สบายใจกัน 4.การออกมาอยู่พรรคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคของใคร พลเอกประวิตรจะอยู่เบื้องหลังหรือไม่แต่กลุ่มก้อน 21 คน คือกลุ่มก้อนที่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกอย่างอย่างเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้มติของพปชร. หรือผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคแล้ว 5.หนทางที่พลเอกประยุทธ์จะรักษา 21 เสียง ให้อยู่ฝั่งรัฐบาล คือ ต้องยอมให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการอย่างน้อย 2 กระทรวง ถ้าให้ คือ ธรรมนัส ชนะในเกมนี้ แต่คนอย่างประยุทธ์ที่ยอมหักไม่ยอมงอ จะยอมแพ้ในเกมแบบนี้ย่อมไม่มีทาง เพราะนาทีนั้น ธรรมนัส จะฉายแววเจิดจรัส ที่บีบได้แม้กระทั่งคนชื่อประยุทธ์ 6.อย่าคิดว่า พรรคเศรษฐกิจไทย จะเป็นปลายทางของ กลุ่ม 21 สส. เพราะเขายังมีเวลาถึง 30 วันว่า จะไปพรรคไหน และไม่ต้องห่วงเลยว่าเขาจะไม่มีทางไป เพราะแทบทุกพรรคพร้อมอ้าแขนรับ 21 สส.7.มติกรรมการบริหารขับ 21 สส. เป็นที่เรียบร้อย จึงเป็นการปล่อยเสือ 21 ตัวกลับเข้าสู่พงไพร เป็นเสือที่สะบัดหลังผู้ขี่ที่ไม่คิดลงหลังเสือทั้งๆ ที่มีโอกาสมาตลอด 8.เป้าหมายของธรรมนัส มากกว่า ต่อรองเอาตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่ออยู่ร่วมรัฐบาลต่อครับฝีมือเดินหมากกคนละชั้นจริงๆ
สรุป : อย่างไรก็ตาม ไผ่ ลิกค์ คนสนิทธรรมนัสยืนยันว่า ย้ายไปพรรคเศรษฐกิจไทย ที่พัวพันอยู่กับชื่อของ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย “ลุงป้อม”
ภาพการลงพื้นที่เชียงรายของ พล.อ.วิชญ์ ลุงป้อม และนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ควรทำให้ทุกคนหันมาสนใจคำพูดของปารีณาได้แล้วและเลิกเพ่งเล็งเรื่องนี้ไปที่ ร.อ.ธรรมนัสแต่ควรหันมาดูว่า “ลุงป้อมวางหมากนี้เพื่อไปจบที่ตรงไหน”
หยิกตูดน้องดื้อๆ ชื่อ “ลุงตู่” ให้หันมาดูความจริงทางการเมือง หรือเอาเรื่องถึงขั้น “เปลี่ยนตัว” ในวันข้างหน้า
เชื่อเถอะว่า เรื่องนี้สนุกแน่!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี