เกมการเมืองที่กำลังดำเนินในขณะนี้ นับได้ว่าร้อนแรงและเข้มข้นมาก เหตุเพราะว่านักการเมืองในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลเล่นการเมืองกันเองตลอดเวลา ซึ่งต้องบอกว่าเล่นการเมืองกันโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสาธารณะ แต่เน้นผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
การที่พรรคพลังประชารัฐเล่นการเมืองภายในพรรคด้วยการเล่นละครฉากขับ ธรรมนัส พรหมเผ่าและพวก 21 คนออกจากพรรค โดยการระบุว่าสร้างความวุ่นวายให้กับพรรคนับเป็นฉากละครการเมืองที่เขียนบทโดยคนที่สาธารณชนรู้ดีว่าชื่อประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ถามว่าทำไมประวิตรจึงต้องเขียนบทละครฉากนี้ แล้วบทละครฉากนี้จะส่งผลดีอย่างไรต่อประวิตรในอนาคต คำตอบที่สั้นและกระชับที่สุดก็คือ เพื่ออำนาจการเมืองสูงสุดจะได้ตกอยู่ในกำมือของประวิตร
ถามต่อไปว่าแล้วประวิตรไม่นำพาหรือว่าการเขียนบทละครการเมืองฉากนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องขาดสะบั้นลง คำตอบคำถามข้อนี้คือ แล้วคิดหรือว่าที่ผ่านมาในระยะ 3-5 เดือนมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างประยุทธ์-ประวิตร ราบรื่น หวานชื่น
ประวิตรอาจจะคิดมาโดยตลอดก็ได้ว่าตนเองคือผู้ค้ำบัลลังก์นายกรัฐมนตรีให้กับประยุทธ์มา 7 ปีแล้ว แล้วประวิตรก็อาจจะคิดเอาเองอีกก็ได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ตนเองน่าจะได้รั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบ้าง ก่อนที่ตนเองจะไม่มีแรงยืนอีกต่อไป
ย้อนกลับไปดูฉากการเมืองตอนที่ธรรมนัสหวังจะหักดิบโค่นนายกรัฐมนตรีในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดเมื่อหลายเดือนก่อน คนที่ศึกษาการเมืองไทยมาอย่างลึกซึ้งต่างฟันธงตรงกันว่า การที่ธรรมนัสกล้าเล่นบทร้ายสุดๆ ในวันนั้นได้ ก็ต้องมาจากการหนุนหลัง หรือการสั่งการโดยประวิตร โดยไม่ต้องสงสัย เพราะหลังจากธรรมนัสถูกประยุทธ์เอาคืนอย่างรุนแรงแบบสุดๆ ด้วยการปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ โดยการปลดในครั้งนั้น ประยุทธ์ไม่ได้แจ้งให้ประวิตรทราบก่อนล่วงหน้า แต่เมื่อธรรมนัสหลุดจากตำแหน่งแล้ว ประวิตรก็แก้เกมกลับด้วยการหนุนส่งให้ธรรมนัสกินตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐต่อไป ซึ่งฉากการเมืองฉากนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เป็นอันขาดหากความสัมพันธ์ระหว่างประยุทธ์กับประวิตรหวานชื่น ราบรื่น
เหตุการณ์ความไม่ราบรื่นในพรรคพลังประชารัฐยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งวันที่ประวิตรกำกับการแสดงละครการเมืองฉากสำคัญคือให้เล่นบทขับธรรมนัสและพวกออกจากพรรคพลังประชารัฐ หากธรรมนัสและพวกถูกขับจริง แล้วไม่มีที่ไปรับรองว่าธรรมนัสและพวกจะไม่มีวันสงบนิ่งอย่างแน่นอน แต่ความลับไม่มีบนโลกนี้ เพราะมีข้อมูลยืนยันตรงกันว่า ประวิตรสั่งให้ทั้งหมดออกจากพรรคพลังประชารัฐ และไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทยถามว่าทำไมต้องพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ตอบได้สั้นๆ ว่าเพราะพรรคนี้มีคนของประวิตรเข้าไปมีอิทธิพลเหนือพรรคเรียบร้อยแล้ว
การที่ธรรมนัสและพวกบางคน (ย้ำว่าบางคน) ยอมออกจากพรรคพลังประชารัฐแล้วไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ไม่ได้ทำให้ธรรมนัสสูญเสียสถานภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้าม กลับทำให้อำนาจต่อรองทางการเมืองของธรรมนัส(รวมถึงประวิตร) เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า เพราะอย่าลืมว่า คนที่กินตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐกลับถูกขับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะที่คนกินตำแหน่งเลขาธิการพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่มีเสียงของสส. ไม่มากนักกลับได้กินตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญ ส่วนหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้กินตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ แล้วยังควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกด้วย แต่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ชื่อประวิตรกลับเหลือแต่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายคนก็รู้ว่าตีนลอย
เมื่อหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ก็จึงทำให้คอการเมืองวิเคราะห์ตรงกันว่า ก็หมดความจำเป็นที่จะต้องหนุนส่งให้ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้นต่อจากนี้ไป ก็จึงมีความคิดเห็นตรงกันว่า ใกล้จะถึงวันสุดท้ายบนบัลลังก์นายกรัฐมนตรีของประยุทธ์แล้ว นับถอยหลังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว ยกเว้นจะมีปาฏิหาริย์ 7 ครั้งซ้อนพร้อมๆ กันมาช่วยให้ประยุทธ์ยังรั้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไว้ได้ต่อไปหรือไม่ก็ต้องชดเชยความเสียหายให้ประวิตรกับธรรมนัสอย่างสาสมจนลบรอยแค้นได้หมดสิ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี