ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ ซาอุดีอาระเบียได้เหินห่างร้างรากันมาร่วม 30 ปี ทำให้ทั้งสองประเทศขาดประโยชน์และได้รับความเสียหายจากความเหินห่างร้างรานั้น และบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ได้ฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องที่น่ายินดีของประชาชาติของทั้งสองประเทศ
เรื่องดีงามเช่นนี้ความจริงสามารถทำให้โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ และทำให้เกิดความพร้อมเพรียงใจกันในการต้อนรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ฟื้นคืนมานี้ได้ แต่ปรากฏว่ามีความสับสนสงสัยกระทั่งถกเถียงดูหมิ่นดูแคลนกันอย่างน่าเสียดาย
นั่นเพราะไม่มีการเปิดเผยความจริงให้ประชาชนได้รับทราบทั้งก่อน ระหว่าง ตลอดจนหลังการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกว่าที่จะมีแถลงข่าวในเรื่องนี้ก็เกิดความสับสนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเพราะไม่มีใครทราบข่าวคราวนี้จนกระทั่งผู้สื่อข่าวทางทหารคนดังได้นำข่าวออกมาเปิดเผยสั้นๆ ว่ามีการเลื่อนประชุมคณะรัฐมนตรีเนื่องจากนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปซาอุดีอาระเบีย
จึงทำให้เกิดการคาดเดากันต่างๆ นานา ทั้งในทางมงคลและไม่เป็นมงคล ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เพราะความจริงเรื่องที่ดีงามเช่นนี้สามารถเปิดเผยให้คนทั้งหลายได้รู้กันโดยทั่วไปเป็นการล่วงหน้าได้ แต่กลับมีการแถลงก่อนการเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมงซึ่งไม่ปกติ และนั่นก็เป็นที่มาของการคาดเดาต่างๆ
ในท่ามกลางความงุนงงนั้นก็มีแต่ IO ที่นำเรื่องนี้มาละเลงกันอย่างสนุกสนานทั้งฝ่ายเชียร์และฝ่ายสนับสนุน โดยเฉพาะฝ่ายเชียร์นั้นอาจเพราะไม่ทราบสภาพเช่นเดียวกันจึงหยิบฉวยสิ่งต่างๆ ออกมารายงาน เช่น การนำภาพขณะรองผู้ว่าการกรุงริยาดต้อนรับนายกรัฐมนตรีมารายงานข่าวว่าเป็นการเข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน จึงถูกทักท้วงว่าไม่ใช่ และต่อมาก็มีการแก้ไขเปลี่ยนภาพหลังจากนายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน
แทนที่จะยอมรับว่าเป็นการรายงานข่าวผิดพลาด คือเนื้อข่าวกับภาพไม่ตรงกัน กลับโจมตีด่าว่าว่าการท้วงติงความผิดพลาดนั้นเป็นเพราะความอิจฉาตาร้อน ซึ่งน่าสมเพชเวทนา
ในการเดินทางเยือนครั้งนี้ก็มีความชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการตั้งกองเกียรติยศต้อนรับในขณะนายกรัฐมนตรีเดินทางไปถึงพระราชวัง
ในช่วงนั้นก็มีการรายงานข่าวถึงข้อตกลงต่างๆสารพัด จึงทำให้เกิดข้อสงสัยและสับสนขึ้นว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะการเยือนระดับนายกรัฐมนตรีนั้นจะตกลงปลงใจประการใดระหว่างประเทศก็จะต้องมีการออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นหลักเป็นฐาน
ในขณะที่ยังไม่มีการเปิดเผยแถลงการณ์ร่วม บรรดากองเชียร์ก็ตีฆ้องร้องป่าวจนราวกับว่าปัญหาคาราคาซังร่วม 30 ปี ได้รับการแก้ไขเสร็จสิ้นและบังเกิดผลสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จึงยิ่งทำให้เกิดการติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่ามีการตกลงเรื่องอะไรกันบ้าง
จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับแล้วเกือบสองวันจึงมีการเปิดเผยแถลงการณ์ร่วม ซึ่งระบุผลการเยือนครั้งนี้อย่างเป็นทางการว่าทั้งสองประเทศได้ตกลงอะไรกันบ้าง ซึ่งต้องถือแถลงการณ์ร่วมนี้เป็นหลักของผลการเยือนและข้อตกลงต่างๆ
โดยสรุปของแถลงการณ์ร่วมก็คือทั้งสองฝ่ายจะฟื้นคืนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เป็นปกติ จะตั้งกลไกต่างๆ เพื่อดำเนินการการฟื้นความสัมพันธ์นี้โดยเร็วที่สุด
เช่น การแต่งตั้งทูตมาประจำระหว่างกัน การร่วมมือกันในลักษณะทวิภาคีหรือลักษณะสองประเทศในด้านต่างๆ และจะสนับสนุนกันและกันในกิจการระหว่างประเทศ
ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมเป็นอย่างไรนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะเป็นผลที่เกิดขึ้นหรือดำเนินการต่อไปหลังจากทั้งสองฝ่ายได้ตกลงตามแถลงการณ์ร่วมนี้แล้ว
ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ IO ที่เขียนกันเองตามใจชอบ และไม่เป็นไปตามแถลงการณ์ร่วมอันเป็นทางการของรัฐบาลทั้งสองประเทศ
การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ ซาอุดีอาระเบียต้องถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะแม้ว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจะพยายามฟื้นความสัมพันธ์โดยลำดับแต่ความสำเร็จมาปรากฏในยุคนี้ จึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้และไม่ควรที่จะปฏิเสธหรือโต้แย้งเป็นอย่างอื่น
ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ฟื้นคืนมานี้ย่อมอำนวยประโยชน์แก่ประเทศทั้งสองและแก่ประชาชนทั้งสองประเทศด้วย
ส่วนผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละประเทศจะต้องพิจารณาป้องกันแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้น ดังเช่นข้อห่วงใยของบางกลุ่มบางฝ่ายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาที่ประดังมาอยู่ที่พื้นที่ภาคเหนือ หรือสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการขยายการจัดตั้งมัสยิดในพื้นที่ต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหากว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์แห่งชาติหรือความมั่นคงของประเทศไทย
ในขณะที่ประเทศไทยฟื้นความสัมพันธ์กับ ซาอุดีอาระเบียนั้นก็ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ในอีกด้านหนึ่งด้วย เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีลักษณะพิเศษของตนเอง มีปัญหาและความขัดแย้งของตนเอง จึงต้องไม่ทำให้การฟื้นความสัมพันธ์นี้กระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศอื่น
โดยเฉพาะคือความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อิหร่านซึ่งทั่วโลกนี้เป็นที่รู้กันว่าอิหร่านกับ ซาอุดีอาระเบียเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแล้ว ในขณะที่ไทย-อิหร่าน ยังดำรงความสัมพันธ์ระดับเอกอัครราชทูตอยู่ แต่เราได้รักษาความสัมพันธ์ที่อำนวยประโยชน์กันตามปกติหรือไม่โดยเฉพาะการร่วมแซงก์ชั่นอิหร่านซึ่งกระทบต่อผลประโยชน์และความสัมพันธ์ไทย-อิหร่านอยู่ในขณะนี้
เรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาและแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีด้วยเช่นเดียวกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี