ในที่สุดวันนี้ของปีก็มาถึง วันที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) จะประกาศผลดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index : CPI) ปี 2021 ของแต่ละประเทศ ผมเองก็รอติดตามอยู่เพราะอยากรู้ว่าคนทั่วไปมองว่าปัญหามันอยู่ระดับไหน และที่ไหนในปีนี้
อย่างแรก ก่อนไปดูคะแนน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าCPI เป็นดัชนีวัด “ภาพลักษณ์” การคอร์รัปชัน ดังนั้นมันมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดนะครับ ข้อดีคือ มันรวบรวมความคิดความเข้าใจของคนจำนวนมากที่มองว่าคอร์รัปชันรุนแรงแค่ไหนดังนั้นต่อให้รูปแบบการคอร์รัปชันมันเปลี่ยนไป จากสินบนไปจนถึงคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ดัชนีนี้ก็จะสามารถวัดได้ และที่สำคัญ มันมีอีกชื่อหนึ่งว่า Poll of polls เพราะ CPI มันรวมคะแนนจากดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาคำนวณรวมเป็นค่าเดียวให้ดูง่ายๆ แล้ว ดังนั้นมันครอบคลุมเกือบทุกมิติของการคอร์รัปชันเลย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการวัด “ภาพลักษณ์” มันเลยมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ต่อให้สถานการณ์เปลี่ยนไปจริงแต่ความรู้สึกคนไม่เปลี่ยน ดัชนีก็ไม่เปลี่ยนนะครับ เรียกง่ายๆว่ามันมีความหนืดสูง นอกจากนี้การที่มีข่าวว่าเราจับโกงเยอะขึ้น แทนที่จะได้คะแนนดีขึ้น กลับแย่ลง เพราะสังคมได้เห็นว่ามีคดีโกงเยอะจากการเปิดเผยนั้น เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้ว สมัยที่บราซิลจับคดีโกงครั้งใหญ่ได้ (ไปค้นได้ว่า Operation Car Wash) กลับทำให้คะแนนบราซิลดิ่งเหวเลยทีเดียว
แต่ถ้าจะบอกว่า อย่างนั้นอย่าไปสนใจเลย นี่ผมคงแย้งเต็มตัวครับ เราต้องสนใจ เพราะยังไงเราก็ควรจะต้องเทียบกับหลักสากล แต่ใช้ตีความและใช้ประโยชน์ให้ถูกจุดเท่านั้น เช่น ใช้ดูว่าคนทั่วไป รวมถึงนักลงทุนมองความเสี่ยงในการลงทุนบ้านเราเป็นอย่างไร ดูว่าคนเห็นว่าปัญหาคอร์รัปชันจุดไหนที่รุนแรง เพื่อเลือกมาตรการที่ถูกมายิงให้ตรงจุด และเราอยู่จุดไหนของโลกเพื่อไปศึกษาเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมชะตากรรมได้
แต่ถ้าจะไปตั้งเป็นเป้าว่าวัดประสิทธิภาพการทำงาน วัดผลเทียบกับปีที่ผ่านมาว่า ขึ้นมากี่อันดับ ได้คะแนนลดลงไม่กี่คะแนน อย่างที่หลายๆ หน่วยงานกำลังทำกัน แบบนี้ผมเสนอว่าอย่าหาทำ เพราะข้อจำกัดข้างต้นที่อธิบายไปนะครับ CPI ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับเป็นเป้าหมายวัดประสิทธิภาพการทำงาน
ที่สำคัญ ขอร้อง อย่าอ้างว่า คอร์รัปชันไทยไม่เหมือนที่ใดในโลก เรามาสร้างดัชนีเราเองดีกว่า เพราะแบบนี้ยากที่จะสำเร็จนะครับ ถ้าอยากรู้เชิงลึก แนะนำให้สนับสนุนการทำวิจัยดีกว่าสร้างดัชนีใหม่ครับ
เล่ามาซะนาน เรามาดูคะแนนของประเทศไทยปีล่าสุดดีกว่า โดยจากจำนวนประเทศ 180 ประเทศทั่วโลกนั้นประเทศไทย ได้ 35 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลกแปลสั้นๆ ได้ว่า อาการยังหนักอยู่ครับ ต้องต่อสู้กันอีกเยอะแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าที่เราสู้กันแทบตายที่ผ่านมาไม่มีประโยชน์นะครับ แค่หมายความว่าต้องทำต่อไป อย่าเพิ่งหยุดและอย่าเพิ่งเสียกำลังใจ แค่นั้นเลยจริงๆ โดย TI ให้ข้อเสนอแนะต่อคะแนนที่น้อยนี้ว่า ต้องให้ความสำคัญกับ ความเสี่ยงในการเบิกจ่ายงบประมาณโควิด-19 ปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เช่น ตำรวจ (ซึ่งก็เหมือนกับการยืนยันความรู้สึกของพวกเรานะครับ)
ถ้าดูสถานการณ์รอบโลกจะเห็นว่า ประเทศอื่นๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากครับ TI ใช้คำว่า “The world at a standstill” หมายถึงทั่วโลกดูเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ และแนะนำให้แต่ละประเทศให้ความสนใจเรื่องงบประมาณแก้ไขปัญหาโควิด-19 และปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนให้มาก (เหมือนปัญหาของไทยเลย)
เห็นข้อมูลแบบนี้แล้วอาจจะรู้สึกท้อใจ แต่อย่างที่ผมเสนอไปข้างต้น ดัชนี CPI นี้มันมีความหนืดสูง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่าย ๆ หรอกครับ แต่ถ้าเราตีความถูก เพื่อออกแบบมาตรการไปแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด ก็ถือว่าได้ใช้ประโยชน์จากมันเหมาะสมแล้ว
ทีนี้เรารู้และเข้าใจ CPI อย่างถ่องแท้แล้ว ทำอะไรต่อได้บ้างครับ? หลายหน่วยงานก็บอกว่า เข้าใจนะว่า มันมีข้อจำกัดแต่ยุทธศาสตร์ชาติเขียนให้ต้องยึดเป็นเป้าหมายไปแล้วทำไงได้ล่ะ ผมจึงมีข้อเสนอ 3 ข้อมาให้ชัดๆ นะครับ
ข้อแรก จากข้อสังเกตของ TI ที่มุ่งไปที่เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาโควิด-19 และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน จะเห็นได้ว่า ทั้งสองปัญหามีลักษณะเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ เป็นเรื่องใหญ่ในสายตาประชาชนในขณะนั้น ลองกลับไปดูหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์สิครับ เกือบทุกวันจะต้องมีเรื่อง งบโควิดมหาศาล 4 แสนล้านบาท หรือ ปัญหาการเมือง การลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน ดังนั้นหมายความว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชันให้ถูกจุด หรืออย่างน้อยก็ให้ประชาชนเห็นว่าทำงาน ก็ต้องมุ่งไปที่เรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคม การที่บอกว่า ที่ผ่านมาก็มีโครงการต้านโกงเต็มไปหมดเลย เช่น มีดาราคนดังมาโฆษณาให้หยุดโกง มีคลิปสั้นกระตุ้นจิตสำนึก มันไม่ได้เป็นจุดสนใจของคนทั่วไปเลย แถมยังมีผลตรงข้าม แสดงความตื้นเขินของความเข้าใจปัญหา และไม่มีความจริงใจในการแก้ไขเสียอีก
ข้อสอง เมื่อมุ่งเป้าได้ถูกจุดแล้ว ขั้นต่อไปคือการเปิดเผยข้อมูลเพื่อสร้างความโปร่งใส ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชน ทุกคนเห็นข้อมูลเดียวกัน เหมือนกัน จะสร้างโครงการหรือตัดถนนใหม่ๆประชาชนก็สามารถไปดูข้อเสนอโครงการได้พร้อมๆ กับข้าราชการที่จะเซ็นอนุมัติ จะจัดซื้อเครื่องบิน เรือดำน้ำ ราคาเท่าไหร่ จากไหน ประชาชนก็ควรได้เห็นพร้อมๆ กับนักการเมืองในสภาฯ หรือ ถ้าหน่วยงานท้องถิ่นจะเลือกซื้อเสาไฟจากบริษัทไหน ประชาชนก็ต้องเห็นได้ว่า นายก อบต. นี้เป็นญาติเป็นเพื่อน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าของบริษัทนั้นหรือไม่ นี่คือการแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง
สำหรับข้อนี้ ภาคประชาชนได้เริ่มเดินหน้าไปแล้วกับโครงการอย่าง ACT Ai (www.actai.co) ที่รวบรวมข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทั้งหมดไว้ในที่เดียว ให้ประชาชนทั่วไปอย่างพวกเราเปิดเข้าไปดูข้อมูลได้ทั้งหมดเลย แถมยังช่วยประเมินได้ด้วยว่า มีความสุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันหรือไม่ และเร็วๆ นี้ จะมีส่วนต่อขยายเชื่อมกับข้อมูลนักการเมืองเพื่อให้เห็นผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างนักการเมืองกับบริษัทที่เข้ามารับงานราชการอีกด้วย
ข้อสาม เปิดเผยข้อมูลอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงด้วย แต่ไม่ใช่เพียงจัดงานให้มาแสดงพลังกันนะครับ ต้องเปิดพื้นที่ความมีส่วนร่วมให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างปลอดภัยและสะดวก เช่น พื้นที่ร่วมแจ้งเบาะแสการคอร์รัปชันอย่างปลอดภัย พื้นที่แสดงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน สามารถโหวตได้ว่างบประมาณควรถูกใช้ไปทางไหนบ้าง ไม่ใช่มีเพียงแค่เลือกตั้งทุก 4 ปี (ถ้าได้เลือก) ซึ่งพื้นที่แบบนี้ที่เรียกว่า Participatory Budgeting หรือ การกำหนดงบประมาณอย่างมีส่วนร่วม เริ่มมีในหลายประเทศแล้ว และประสบความสำเร็จมากในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ และสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนในประเทศ
ข้อนี้ในปีที่แล้ว ภาคประชาชนก็ได้เริ่มพัฒนาแล้วเช่นกัน โดยเริ่มจากงบประมาณของกรุงเทพฯ ก่อน ในชื่อโครงการ Bangkok Budgeting (https://projects.punchup.world/bangkokbudgeting/) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือของ PunchUp องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) SIAMlabศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ และ HAND Social Enterprise ใครสนใจลองเข้าไปเล่นดูได้เลยนะครับ
สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า หน่วยงานไหนที่ตั้งเป้าเพิ่มระดับคะแนน CPI ไว้อย่างเข้มข้น ขอให้คงใช้มันเป็นข้อมูลพิจารณาต่อไป แต่อย่าไปยึดติดกับมันมากนะครับ มามุ่งดูสิ่งที่มันบอก ดีกว่าไปนั่งเทียบว่าอะไรเพิ่มอะไรลด มามุ่งพัฒนาการเปิดเผยข้อมูลและสร้างความมีส่วนร่วม ดีกว่าตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์คะแนน และสนับสนุนสิ่งที่ภาควิชาการและภาคประชาชนได้เริ่มต้นเดินมาแล้วต่อไปดีกว่า เมื่อเห็นแล้วว่า คอร์รัปชันยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย แล้วพอเห็นช่องทางออกที่ชัดเจนมากขึ้นอย่างนี้แล้ว หวังว่าทุกท่านจะพอมีความหวังกับไทยอยู่บ้างนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี