เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่รัฐสภา นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ได้มีการจดทะเบียนตั้งแต่ มี.ค. 2564 ช่วงที่ยังไม่มีสถานการณ์ความวุ่นวายภายในพรรค พปชร. อย่าคิดว่าเป็นการสร้างพรรคสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. 2564 ที่มีข่าวการล้มนายกฯ กลางสภา ทั้งๆ ที่ท่านทำงานอย่างหนัก ไม่มีทุจริต และเวลาต่อมาสถานการณ์ภายในพรรคก็ไม่สงบ ดูเหมือนว่ามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งต้องการกดดันนายกฯ ตลอดเวลา และฐานะที่ตนอยู่เคียงข้างนายกฯ มาโดยตลอด ก็อยากที่จะช่วยหาทางออกให้
“วันดีคืนดีหากพรรค พปชร. ไม่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ อีก ท่านนายกฯ จะมีประตูเดินออกอีกหรือไม่ อยู่ๆ พรรค พปชร.จะมากดดันหรือมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ลงคะแนนให้นายกฯ ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากเราไม่เตรียมการ ไม่หาบ้านหลังใหม่ให้กับท่านนายกฯ ตั้งแต่วันนี้ แล้วท่านจะถูกกดดัน ภาษาบ้านผมเรียกว่า จะมาบีบไข่นายกฯแบบนี้ตลอดไม่ได้ ผมไม่ยอม” นายเสกสกล กล่าว
นายเสกสกล กล่าวต่อว่า อย่าเรียกว่าเป็นพรรคนายกฯตนแค่เตรียมเผื่อเท่านั้น ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะมาอยู่พรรคนี้ แต่ตนที่อยู่ในฐานะตัดสินใจและปรึกษากับผู้ใหญ่ที่เข้าใจนายกฯ เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะมีการเตรียมการไว้ อย่างน้อยที่สุด หากพรรคเดิมมีปัญหา พรรคใหม่จะเป็นทางเลือกให้ได้ และตนแค่รู้ว่ามีสัญญาณภายในพรรคไม่ค่อยดี หาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. คุมอยู่ก็ไม่มีปัญหา แต่หากคุมไม่อยู่ก็เป็นห่วงเหมือนกัน เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมา เหมือนจะคุมไม่อยู่ แต่ พล.อ.ประวิตร คุมอยู่ ขณะเดียวกันสถานการณ์ภายในพรรคก็ไม่นิ่งสงบ
“ถ้าพรรค พปชร.แข็งแรงและมั่นคง ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
พรรครวมไทยสร้างชาติของผมและคณะ ประกาศจุดยืนชัดเจน แต่ถ้าพรรค พปชร. ไม่สนับสนุน พรรครวมไทยสร้างชาติก็จะเป็นพรรคที่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเราไม่ได้มีปัญหากับพรรค พปชร.หากพรรค พปชร. จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อก็ยินดีเห็นด้วยและไม่มีปัญหา แต่ถ้านายกฯ อยู่บ้านหลังเดิมไม่อบอุ่น บ้านหลังนี้ก็พร้อมให้ความอบอุ่นท่าน และหากวันใดวันหนึ่งผมเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้าพรรคได้ผมจะเชิญ แต่ถ้าไม่ได้ ต้องมีคนที่ไว้วางใจที่สุดไม่เป็นรองใคร”นายเสกสกล กล่าว
ต่อมาวันที่ 10 ก.พ. 2565 “แนวหน้าออนไลน์” รายงานว่า แหล่งข่าวใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยว่า นายกฯได้เปรยถึงจุดยืนทางการเมืองในขณะนี้ว่า “ยืนยันยังอยู่พลังประชารัฐ เพราะพรรคพลังประชารัฐเสนอตนอยู่ในบัญชีนายกฯและทราบว่าหัวหน้าพรรคกำลังแก้ปัญหาภายในพรรคให้ได้โดยเร็ว โดยจะมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในเร็วๆ นี้”
เรามาวิเคราะห์การเมืองเรื่อง “บีบไข่” นี้กัน !!
1) เรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดนี้ คนใกล้ตัวนายกฯ กล้าพูดไหมว่าต้นตอคือ “กรรม” ที่นายกฯ ก่อ ลองคิดมุมนี้ดูนะครับว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ “หัวหน้า คสช.” เลือกจะอยู่บนกระดานการเมืองแค่เป็น “หัวหน้าคณะรัฐประหาร”ที่เข้ามา “ระงับข้อพิพาท” หรือ “ยุติความเสี่ยงที่ประเทศจะต้องเผชิญ” แล้วเร่งรีบดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย กติกา สะสางปัญหาหมักหมมต่างๆ เสร็จ แล้วคืน “กระดานการเมือง” ให้ผู้เล่นเขาเล่นกันไป อันประกอบไปด้วยพรรคการเมือง นักการเมือง และผู้เลือก คือ ประชาชน ภายใต้กติกาที่ “ไม่เข้าใครออกใคร” เป็นกติกาที่เปิดให้ทุกคนทุกพรรคแข่งกันกัน “อย่างเสรีและเป็นธรรม”ท่านจะต้องมาพะวงกับ “ไข่” ของท่านในวันนี้ไหม
2) เมื่อท่านไม่ถอย ท่านเดินต่อ ความเป็น “เจ้าภาพกำหนดกติกา” ย่อมติดตัวมาและเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายอื่นๆ “หาเหตุ” และตามรังควานได้ไม่รู้จบ “เลือกความสงบ” จึงไม่จบที่ลุงตู่ หากแต่ “ความไม่สงบ” เริ่มต้นที่ลุงตู่ยังเลือกจะอยู่บนกระดานการเมือง ด้วยกติกาที่ถูกครหา เช่น การลงประชามติรัฐธรรมนูญ ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม ฝ่ายหนุนพูดได้เต็มที่ ฝ่ายไม่หนุนมีคดีติดตัว บ้างถูกจับ มีการชี้นำให้ห่วงพะวงกับตัวบุคคล มากกว่าพิจารณา “เนื้อหา” ของรัฐธรรมนูญ แถมมี “บทเฉพาะกาล” ให้ สว. ที่มาจากการเลือกเองของ คสช. มามีอำนาจ “เลือกนายกฯ” ซึ่งถูกตีความไปอีกทางหนึ่งด้วยว่า เอามาช่วย “กันคนบางคนไม่ให้ได้เป็นนายกฯ” มันถูกมองในมุม “เขียนกติกาเอง ลงแข่งเอง” แถมแช่แข็งพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่ให้เคลื่อนไหว หรือมีกิจกรรมทางการเมือง แต่นักการเมืองที่เตรียมจะรวมกันเป็นพรรคพลังประชารัฐ เดินสายหาพันธมิตรได้ทุกวันไม่เป็นอะไร ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้แหละ ที่ “บ้านเมือง” ต้องพลอยรับผลกระทบจากความซับซ้อนของการจะอยู่บนกระดานการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ไปด้วย
3) นายวีระกร คำประกอบ สส.พลังประชารัฐ จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวในรายงานการ ทุบประเด็น ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ดีไซน์ (design) มาสำหรับพรรคอื่นเลยที่จะเป็นรัฐบาล ดีไซน์มาสำหรับให้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น จึงจำเป็นที่ต้องย้ายมาอยู่ตรงนี้ เพื่อให้ประเทศชาติได้นับหนึ่งได้
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐระบุว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”
นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยอมรับว่า “สาเหตุที่มีสมาชิกพรรคลาออกไปนั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อพวกเรา”
จึงจะเห็นได้ว่า เรื่องรัฐธรรมนูญกลายเป็นความขัดแย้งหนึ่งในบ้านเมืองเรา ไม่ต่างกับ “บิ๊กตู่” ที่ก็มาพร้อมกับความขัดแย้งติดตัว คำถามคือ ใคร? “ตั้งกระดานการเมือง” ไว้แบบนี้
4) ต่อมา อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ก็มาเป็นแกนนำตั้งพรรคพลังประชารัฐ รวบรวมนักการเมืองทั้งเก่าและใหม่จากแหล่งต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งอาจสรุปได้ว่ามีทั้งคนที่ “พร้อมจะมาและจำต้องมา” มารวมกันอยู่ในพรรคนี้ แม้จะไม่ใช่พรรคการเมืองที่ได้จำนวน สส.จากการเลือกของประชาชนมากที่สุด แต่ก็รวบรวมพรรคการเมืองมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยเริ่มต้นจากการโหวตหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ตามมา คือ ภาวะ “แยกกันอยู่” พล.อ.ประยุทธ์ แทบไม่ลงมาเกลือกกลั้วเกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐเลย ไม่ส่งเสริมความน่านิยมให้พรรค ไม่ผลักดันนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐหาเสียงไว้ให้เป็นที่จดจำ ตอบรับ และอยากจะสนับสนุนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีของตน สำหรับจัดสรรให้คนที่ตนเห็นชอบ ซึ่งส่วนมากเป็น “คนนอก” มีโควตาให้แก่พรรคร่วมรัฐบาลที่แน่นอน ตายตัว และเหลือโควตาส่วนหนึ่งไว้ให้พรรคพลังประชารัฐ ที่ต่อมาหลังเกิดความขัดแย้งในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ก็ปลดรัฐมนตรีช่วย (ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์) ซึ่งเป็นโควตาของพรรคออก และไม่ตั้งใครกลับมาใหม่
5) หลายคนโทษ ร.อ.ธรรมนัส โดยไม่ได้มองว่า เหตุที่เกิดนั้น เกิดเพราะขาด “มนุษยสัมพันธ์ทางการเมือง”
ขาดการบริหารจัดการให้ “ลงตัว” ระหว่าง “คนดี” กับ “นักการเมือง” ขาดการมองไปในอนาคตว่า ถ้าไม่ทำให้พรรคเป็นที่นิยมชมชอบ การเลือกตั้ง โดยเฉพาะภายใต้บัตร 2 ใบ จะเหลือใครมาหนุนท่านเป็นนายกฯ ได้อีก
พล.อ.ประยุทธ์ติดกับความเป็น “คนดี” ที่ท่านมองตัวเอง และกองเชียร์บอกท่าน ทั้งๆ ที่วิธีที่ท่านใช้“ต่อเกมการเมือง” และ “อยู่บนกระดานการเมือง” นั้น หากกระทำโดย นายทักษิณ ชินวัตร ละก็ แฟนคลับลุงตู่
คงด่ากันเละเทะแน่นอน
บวกกับว่าตอนท่านยึดอำนาจใหม่ๆ กระแสเบื่อหน้านักการเมืองของประชาชนสูงมาก คสช. ก็มียุทธศาสตร์ตอกย้ำให้คนเห็นพ้องว่า นักการเมืองคือสิ่งเลวร้ายของสังคมไทย ที่ต้องนำไปสู่การปฏิรูป (ซึ่งก็จริง) แต่พอถึงคราวที่จะต้อง “เดินหน้าการเมืองต่อ” ท่านกลับเลือกยืนอยู่บน “พรรคการเมือง-นักการเมือง” แบบที่ท่านเคยแสดงความรังเกียจ ตลอดการเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จึงเหมือนคน “เกลียดขี้” ที่ยืนอยู่บน “กองขี้” จึงมีอาการ “สงวนท่าทีต่อกัน” อย่างชัดเจน เลือกจะสัมพันธ์กับพรรคพลังประชารัฐผ่าน “นายหน้า” หรือ “ตัวแทน” เท่านั้น คือชุด 4 กุมาร ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (ที่สุดท้ายถูกอัปเปหิออกไป) ต่อมาก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
6) เมื่อ พล.อ.ประวิตร ได้ลูกน้องคู่ใจ ทันใจ ได้ดั่งใจอย่าง ร.อ.ธรรมนัส มาเป็น “แม่บ้านพรรค” ท่านก็ทำงานได้คล่อง สบายใจ เพราะธรรมนัสมีความภักดี ยอมเจ็บยอมเปลือง ยอมเหนื่อย แทน พล.อ.ประวิตร ได้หมด ชนิดหาคนอื่นในพรรคที่ทุ่มเทให้ได้เท่ากับธรรมนัสไม่มีเลย
ในฐานะเลขาฯ พรรค ร.อ.ธรรมนัสย่อมมีความทะเยอทะยานที่จะสร้าง “ผลงาน” ให้ “ยิ่งใหญ่” พรรคพลังประชารัฐจะใหญ่ได้อย่างไร ในสภาพ “กองขี้ใต้ตีน” หรือ “เมียเก็บในคอนโดฯ” หรือ “ทหารเกณฑ์ของท่านนายพลคนดี”
เป็นไปได้ที่ ร.อ.ธรรมนัส จะก่อการเพื่อ “ต่อรอง”แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่ ร.อ.ธรรมนัส จะทำเองตามลำพังโดยไม่มี “นาย” พยักหน้า
ปฏิบัติการของ ร.อ.ธรรมนัส ทำให้ “ลุงตู่” กลับมาอยู่กับความจริงว่า “น้ำต้องพึ่งเรือ เสือต้องพึ่งป่า” แต่ด้วยความใจร้อนจึงบุ่มบ่าม ปลด “ธรรมนัส-นฤมล” เพื่อส่งสัญญาณว่า “อย่าทำอย่างนี้” แต่ “พี่ชายที่แสนดี” ก็ไม่เล่นด้วย ยังเก็บทั้ง “ธรรมนัสและนฤมล” ไว้ข้างกาย จนเป็นที่มาของวาทกรรม “บีบไข่” ที่ “แรมโบ้อีสาน”
ใช้อธิบายปรากฏการณ์จนตรอกของ พล.อ.ประยุทธ์
7) ใช่ครับ อาจมีนักการเมืองเลวๆ กระทำกับท่านผู้นำสุดยอดคนดี แต่อีกด้านหนึ่ง เรื่องมาถึงจุดนี้ เพราะ “คนดี” บริหารสัมพันธภาพผิดพลาดด้วยใช่หรือไม่ เป็นเท้าที่ไม่ส่งเสริมรองเท้า ก็ต้องถูก “รองเท้ากัด” เป็นธรรมดา
8) ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความสามารถในการบริหารสัมพันธภาพไหม มีครับ ดูเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างนะครับ
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เวลา 11.50 น. ที่ห้องสีเหลืองตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 3/2565 ได้หารือนอกรอบกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
มีรายงานว่า ทั้งหมดได้พูดคุยถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเฉพาะเรื่ององค์ประชุมในศึกอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติที่จะมีขึ้นในวันที่17-18 ก.พ.นี้โดยช่วงหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ได้หันไปกล่าวกับนายอนุทินว่า “หนูช่วยกันหน่อยนะ”
จากนั้นเวลา 12.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงข่าวโดยมีนายอนุทิน นายศักดิ์สยาม นายสุชาติ และนายชัยวุฒิ มายืนอยู่ข้างหลังด้วย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเหนียวแน่นของพรรคร่วมรัฐบาลหลังเกิดกระแสข่าวความระหองระแหงโดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทย ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าวันนี้ความเดือดร้อนมีอยู่หลายส่วนซึ่งรัฐบาลก็นำทุกอย่างเพื่อมาแก้ปัญหาทั้งหมด ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นในการบริหารราชการ เพราะฉะนั้น ขอร้องว่าให้ช่วยกันลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้วยความเข้าใจไปด้วยกัน หลายปัญหารัฐบาลก็แก้ทุกตัว เมื่อเกิดปัญหา เราก็ต้องแก้ และต้องเข้าใจซึ่งกันและกันว่าแก้ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร เหตุใดถึงแก้ได้เพียงเท่านี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับงบประมาณและระยะเวลาของสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติซึ่งก็เกิดพร้อมกันหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งก็ต้องมองในภาพรวมด้วยซึ่งรัฐบาลเองต้องมองเช่นนั้นกับคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่ได้รับความเดือดร้อนซึ่งก็ต้องแก้ให้ทุกเรื่อง มากบ้างน้อยบ้างเพราะทุกอย่างต้องคำนึงถึงงบประมาณและแนวปฏิบัติ และกฎหมายที่มีอยู่
“ขอทำความเข้าใจด้วยนายกรัฐมนตรีก็ห่วงใย ทุกคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ขอความร่วมมือไปยังฝ่ายนิติบัญญัติด้วยก็แล้วกันทุกอย่างอย่าให้มีปัญหากันมากนัก ความจริงไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยผมคุยกับบรรดาหัวหน้าพรรคและพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็อย่าทำให้มันสับสนอลหม่านไปเพราะมันไม่มีอะไรดีขึ้นกับประเทศเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้มีนายอนุทิน และนายศักดิ์สยามหัวหน้ากับเลขาฯพรรคภูมิใจไทย มายืนร่วมแถลงด้วยต้องการแสดงให้เห็นว่าได้เคลียร์ปัญหาต่างๆ แล้วใช่หรือไม่ซึ่งทันทีที่ผู้สื่อข่าวถามจบ นายอนุทินและนายศักดิ์สยาม ที่ยืนอยู่ด้านหลังนายกรัฐมนตรี หัวเราะออกมา ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะกล่าวย้อนถามว่า “คือผมต้องเคลียร์อะไรกับเขาล่ะ มีอะไรต้องเคลียร์หรือ” เมื่อถามย้ำถึงปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ว่ากันไป กฎหมายถ้าทำได้ก็ทำได้ ก็แค่นั้น
สรุป :: ผมจึงเชื่อตามที่แนวหน้าออนไลน์รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะ
ขณะนี้ พล.อ.ประวิตร “จับหมาแยกคอก” ให้แล้ว และแรมโบ้ก็ทำ “กระจับครอบไข่” ในทางการเมืองให้แล้ว
ขั้นต่อไปคือ เจรจา หาจุดลงตัว ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐที่เหลืออยู่ และความสัมพันธ์ระยะไกลกับกลุ่มของธรรมนัส ที่อำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น
เป็นอำนาจต่อรองที่ พล.อ.ประวิตร ยินยอมให้เกิด เพื่อ “ปรับพฤติกรรม” น้องรัก อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ให้ลงมาสัมพันธ์กับพรรคการเมืองให้มากขึ้น เพื่ออนาคตที่จะ “ยังอยู่บนกระดานการเมือง” กันต่อไป
ส่วนพรรค “กระจับครอบไข่” ก็เป็นแค่ “บ้านพรรคสำรอง” ที่แสนยานุภาพไม่เท่ากับพลังประชารัฐที่เหลือ ที่ขุมกำลังหลักอย่างกลุ่มสามมิตรยังไม่ตีจาก เพราะกลุ่มนี้มี สส.มาก และเป็น สส.ที่ไม่ต้องอาศัย “กระแสลุงตู่” อุ้มเข้าสภา เหมือนพรรค “กระจับ” ที่เกิดมาแบบ “ไม่มีไข่” ก็ไม่รอด !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี