บัตรทอง หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ชื่อแรกเริ่ม คือ 30 บาทรักษาทุกโรค
ปัจจุบัน รัฐบาลลุงตู่ได้ยกระดับบริการไปเป็น “บัตรทองพรีเมี่ยม” เพิ่มสิทธิประโยชน์ เพิ่มคุณภาพบริการ อัพเกรดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
น่าสมเพชเวทนาที่นักการเมืองบางจำพวกยังติดหล่ม จมปลัก มัวปลุกปั่นแบบหลับหูหลับตาว่ารัฐบาลจะยกเลิก บัตรทอง เรียกว่าโกหกแบบดูแคลนสติปัญญาคนฟังเอามากๆ
1. โควิดรักษาฟรี บัตรทองพรีเมี่ยม
พอเห็นข่าวว่า 1 มีนาคมนี้ จะยกเลิกผู้ป่วย “โควิด” เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน หลายคนตกใจว่า ต่อไปนี้จะต้องเสียค่ารักษาโควิดเองหรือไม่?
ความจริง คือ ใครป่วยโควิดรักษาฟรีตามสิทธิ ไม่มีเปลี่ยนแปลง สำหรับบัตรทองก็ใช้กติกาที่เรียกว่า “ยกระดับสิทธิรักษาทุกที่” หรืออาจจะเรียกว่า บัตรทองพรีเมี่ยม ตามที่ยกระดับอัพเกรดกันมาอย่างต่อเนื่องสำหรับประชาชนคนไทยทุกคนที่ถือบัตรทอง
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ยืนยันว่า กรณีวันที่ 1 มีนาคม 2565 นี้ สาธารณสุขยกเลิกผู้ป่วย “โควิด”เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น มีคนเข้าใจว่า ถ้าทำงานอยู่กทม. แต่สิทธิรักษาอยู่ต่างจังหวัดหากติดเชื้อโควิดจะรักษาที่ กทม. ไม่ได้ ต้องไปต่างจังหวัดเท่านั้น?
“สำหรับระบบปกตินั้น ยกตัวอย่างเช่น สิทธิ์รักษาของท่านอยู่ต่างจังหวัด แต่มาทำงานอยู่ที่ กทม. หากไม่สบายหรือเจ็บป่วยกรณีที่ไม่ฉุกเฉิน ท่านสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการอื่นๆ อย่างถ้าเป็นผู้ป่วยนอกก็สามารถรับบริการปฐมภูมิทั่วประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือถ้าจำเป็นจะต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง โรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องให้ท่านกลับไปรับใบส่งตัว และโรงพยาบาลจะทำการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลกับ สปสช. โดยตรง ซึ่งรูปแบบบริการนี้เราได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ที่ผ่านมาทั่วประเทศ
และหากกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ท่านก็สามารถเข้ารับรักษาได้ทุกที่ทั่วประเทศเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกรณีฉุกเฉินหรือไม่ฉุกเฉิน หากเป็นระบบปกติท่านสามารถเข้ารับบริการได้ทั่วประเทศ ไม่ต้องกลับไปเอาใบส่งตัวเพื่อมายืนยันสิทธิ์ในการรักษาต่างๆ ซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพนี้เราได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา เรียกว่า “ยกระดับสิทธิบัตรทองรักษาทุกที่”
ส่วนกรณีโรคโควิดนั้น เราก็ใช้กติกานี้ ซึ่งตอนนี้เรามองว่า ถ้ามีการบอกว่า โควิดไม่เป็นเหตุฉุกเฉิน ก็อาจจะหมายความว่า โควิดมี 2 ประเภท มีทั้งแบบฉุกเฉินและไม่ฉุกเฉิน แล้วคำว่าฉุกเฉินนั้นจะดูจากอะไร? ก็จะดูจากอาการ อย่างเช่น มีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็ว ความดันต่ำ มีไข้สูง เป็นต้น แบบนี้เรียกว่าฉุกเฉิน ซึ่งยิ่งเป็นโควิดด้วย ท่านสามารถเข้ารับบริการรักษาสถานพยาบาลที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะรัฐหรือเอกชน
แต่กรณีไม่ฉุกเฉิน เช่น ป่วยเป็นโควิดแต่แทบจะไม่มีอาการอะไรเลย อาจจะมีน้ำมูกเล็กน้อย ไอเล็กน้อย ซึ่งเราก็ถือว่าไม่ฉุกเฉิน ก็สามารถใช้กติกาที่ว่า “ยกระดับบัตรทองรักษาทุกที่” ในระบบหลักประกันสุขภาพได้
และสำหรับกรณีที่ป่วยโควิด แล้วท่านติดต่อมาที่ 1330 และเจ้าหน้าที่แจ้งให้เข้ารักษาในระบบ HI หรือ CI และจะมีคลินิกดูแลท่านนั้น ก็จะได้รับบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดย สปสช. จะจ่ายให้กับหน่วยบริการที่ดูแลท่านเอง”
2. ตั้งแต่ 1 ม.ค.2565 ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ โดยที่หน่วยบริการจะไม่มีการเรียกให้กลับไปรับใบส่งตัวมาเหมือนในอดีตที่เคยเป็นปัญหากับพี่น้องประชาชน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า การยกระดับบัตรทองเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ โดยเน้นใน 4 บริการ ได้แก่ 1. ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัว ในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ หรือ 30 บาทรักษาทุกที่ 2. ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว 3. โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ และ 4. ย้ายหน่วยบริการ ได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน
หลักการของนโยบายนี้ คือ ประชาชนยังคงเข้ารับบริการที่หน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนและหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่าย แต่กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุสมควรสามารถเข้ารับบริการปฐมภูมิที่หน่วยบริการปฐมภูมินอกเครือข่ายได้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 หน่วยบริการทุกแห่งที่ให้บริการประชาชนในลักษณะนี้ จะไม่ต้องให้ประชาชนกลับไปรับใบส่งตัว หรือมีการเรียกเก็บเงินจากประชาชน แต่ให้มาเรียกเก็บเงินจาก สปสช. ซึ่งได้จัดเตรียมงบประมาณเอาไว้แล้วต่างหาก เพื่อจัดสรรให้ตามที่โรงพยาบาลเรียกเก็บ ในราคาที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
ตัวอย่างหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น สถานีอนามัย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.), หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล,ศูนย์สุขภาพชุมชน ศูนย์บริการสาธารณสุข รวมถึง คลินิกชุมชนอบอุ่น เป็นต้น
3. โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม
บริการ “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม” หนึ่งใน 4 บริการตามนโยบายยกระดับบัตรทอง สู่หลักประกันสุขภาพแห่งชาติยุคใหม่
นับเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ทั้งกรณีผู้ป่วยรายเก่าและผู้ป่วยรายใหม่ที่พึ่งได้รับการวินิจฉัย โดยสามารถเข้ารับบริการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งแห่งใดก็ได้ในระบบบัตรทองที่มีความพร้อมในการให้บริการ ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง การรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีรักษา การรักษาด้วยภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคมะเร็งและจากการรักษา รวมถึงการตรวจติดตามผลการรักษา โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว
แนวทางปฏิบัติ คือ หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ว่าเป็นโรคมะเร็ง แพทย์ผู้รักษาจะตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเด็นว่าเลือกรับบริการรักษาต่อที่ใด ซึ่งจะมีรายชื่อหน่วยบริการที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งและมีความพร้อมให้การรักษาที่สำคัญเพื่อควบคุมระยะและการแพร่กระจายของโรคมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละราย หลังจากนั้นพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ประสานการส่งต่อจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการประสานการส่งข้อมูลผู้ป่วยเพื่อไปรับบริการยังหน่วยบริการที่พร้อมให้บริการรักษาโรคมะเร็ง โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเข้ารับการรักษา ณ หน่วยบริการที่ได้เลือกไว้
4. ฟอกไตฟรี
ก่อนหน้านี้ สิทธิบัตรทอง จะให้รักษาโดย วิธีที่ 1 การล้างไตผ่านทางช่องท้อง และวิธีที่ 2 การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (ประชาชนมักจะเรียกว่า การฟอกไต/ฟอกเลือด)
ที่ผ่านมา หลายคนได้สิทธิในการรักษาผ่านการล้างไตทางช่องท้อง บางคนที่เข้าเงื่อนไขการรักษาก็ได้ฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียม แต่มีผู้ป่วยจำนวนมากไม่ต้องการเจาะท้อง ต้องการใช้วิธีฟอกเลือดหรือที่เรียกว่าฟอกไต จะต้องจ่ายค่าบริการ 1,500 บาทต่อครั้ง คิดเป็นค่าใช้จ่ายมากกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน นับเป็นภาระค่าใช้จ่ายสูงมาก
ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยโรคไตทั่วประเทศ สามารถเลือกวิธีการฟอกเลือดได้ฟรี โดยผ่านการพิจารณาความเหมาะสมกับทีมแพทย์
นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย เล่าถึงปัญหาที่ผู้ป่วยโรคไตต้องประสบ และขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายฟอกไตฟรี เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยฟอกไต 30,802 ราย ในจำนวนนี้ 6,546 ราย เป็นกลุ่มที่ไม่สมัครใจล้างไตทางช่องท้อง แล้วเลือกจ่ายเงินเองฟอกไตเอง ส่วนผู้ป่วยล้างทางหน้าท้องมี 32,892 ราย ในจำนวนนี้มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีฟอกไตประมาณ 5,000 ราย
ทั้งหมด เป็นเพียงตัวอย่างสิทธิประโยชน์และการยกระดับคุณภาพบริการผู้ถือบัตรทอง หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในยุคลุงตู่ (และต้องให้เครดิตรัฐมนตรีอนุทินด้วย) ที่มีการจัดสรรงบประมาณ และนโยบายสนับสนุนเพื่อพัฒนาโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความมั่นคงและยั่งยืน มีคุณภาพดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยได้ดีที่สุดตั้งแต่เริ่มมีบัตรทองเป็นต้นมา
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี