หลังจากที่ทาง กกต. ได้กำหนดว่า วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 จะเป็นวันเลือกตั้งทั้งสนามกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา กระแสที่ถูกปล่อยก่อนหน้านี้ว่าจะยุบสภา พฤษภาคมนี้ ก็หายไปทันที ซึ่งแน่นอนว่าหลังการประกาศของกกต. พรรคการเมืองแต่ละพรรค ที่ทั้งเปิดเผยผู้สมัครทั้งทางตรงทางอ้อมแล้ว รวมถึงพรรคที่ยังไม่เคยเปิดเผย ก็ย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้
เมื่อวันแห่งการเลือกตั้งได้ถูกกำหนดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมือง ประเทศ หรือระหว่างประเทศจะเป็นอย่างไร ทุกพรรคก็ต้องเคลื่อนไหว เพราะสนามกทม.ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องวงเงินงบประมาณ รวมถึงเรื่องการปูทางสู่การเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า ที่ทุกพรรคเตรียมช่วงชิงสส.กทม.ไม่อาจปล่อยไว้ได้
ในยุคนี้คงบอกไม่ได้แล้วว่าการออกตัวเร็ว หรือออกตัวช้าแล้วปล่อยให้คู่แข่งทางการเมืองเดินนำหน้าไปก่อนนั้น อันไหนจะดีหรือแย่กว่ากัน
อย่างอดีตพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ ที่ยึดครองพื้นที่สนามผู้ว่าฯ กทม. มากว่าทศวรรษ ก่อนจะถูกเบรกสถิติด้วยผู้ว่าฯคนปัจจุบัน ที่เลือกที่จะประกาศตัวผู้สมัครก่อนใครมาสักพักแล้วตั้งแต่วันเข้าคูหายังไม่ถูกกำหนดแต่วางตัวผู้สมัครอย่าง ดร.เอ้-
สุชัชวีร์ ด้วยคอนเซ็ปต์ เปลี่ยนกรุงเทพฯ แต่จากข่าวที่ถูกจับผิดและโจมตีอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์นี้ หลายฝ่ายก็เริ่มมองกันแล้วว่าการเปิดตัวผู้สมัครตั้งแต่เนิ่นๆ นั้น เป็นแนวคิดที่ดีหรือไม่กันแน่
ย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 ต้องยอมรับว่า ในสายตาประชาชนทั่วไป รวมถึงคอการเมืองต่างยกให้ประชาธิปัตย์ เป็นตัวเต็งไม่หนึ่งก็สอง เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าการเมืองใหม่จะทำให้พรรคใหม่อย่างพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนมากขนาดนี้โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในท้ายที่สุดเมื่อผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็ไม่เป็นดั่งที่หวัง ขุนพลสำคัญสอบตกไปมากเป็นประวัติการณ์ นายอภิสิทธิ์แม่ทัพใหญ่ของพรรคจึงก้าวลงจากตำแหน่ง ส่งผลให้ภายในพรรคประชาธิปัตย์ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่นอกจากการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายจุรินทร์ ซึ่งต้องเป็นผู้แบกรับหน้าที่ในการกอบกู้ความนิยมของพรรคให้กลับมาเป็นดังเดิมในยุคยากลำบากนี้แล้ว ยังทำให้เกิดการสูญเสียขุนพลของพรรคอีกจำนวนที่ไม่น้อย จากการทยอยลาออกจากพรรค ทั้งจากที่เป็นสส.และไม่ได้เป็นสส. โดยเฉพาะพื้นที่กทม.และหัวเมืองใหญ่ บางส่วนก็ย้ายสังกัดไปอยู่พรรคคู่แข่งทางการเมือง แต่ก็มีอีกบางส่วนที่แยกจากพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตั้งพรรคเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะกระทบต่อฐานคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์อีกมากแค่ไหนในพื้นที่กทม.?
และแม้จะเป็นสถานการณ์ที่ยาก แต่ล่าสุดในการเลือกตั้งซ่อม ในจังหวัดสงขลาและชุมพร เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ก็ยังสามารถเก็บคะแนนกลับมาได้ครบ แต่แม้พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถยึดหัวหาดในสมรภูมิภาคใต้ได้ แต่ในสนามกทม. ต่างไปอย่างสิ้นเชิง?
แต่หากตัวแทนหมู่บ้านประชาธิปัตย์สามารถปักธงชัยในเวทีเลือกตั้งเมืองหลวงได้ ก็คงจะเป็นการลบคำสบประมาทอย่างแน่นอน และจะบ่งบอกถึงความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย แต่ถ้าไม่ ทุกอย่างจะกลับด้านกันหมดและจะเป็นโจทย์ยากสำหรับผู้สมัครสส.ในพื้นที่กทม.ของประชาธิปัตย์ทันที
ซึ่งในงานสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น นายเฉลิมชัย เลขาธิการพรรคฯก็ยังได้ให้ความหวังกับลูกพรรคว่า ไม่เพียงจะรักษาที่นั่งเดิมเพียงเท่านั้น แต่ต้องได้ที่นั่งในสภาฯเพิ่มด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการเรียกความเชื่อมั่นลูกพรรค แต่ในช่วงเวลานั้นก็มีอดีตสส.พรรคทยอยลาออกอีกชุดใหญ่ท่ามกลางกระแสข่าวการเปิดตัวพรรคใหม่ในต้นเดือนหน้านี้อีกหลายพรรค
ตรงกันข้ามกับอดีตพรรคคู่แข่งสำคัญโดยเฉพาะพื้นที่กทม. อย่างพรรคเพื่อไทย ที่กำลังส่งสัญญาณเรียกศิษย์เก่า ครอบครัวไทยรักไทยกลับบ้าน
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ประชาธิปัตย์จัดประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น พรรคเพื่อไทยก็มีการจัดที่จังหวัดอุดรธานี ที่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองอย่างมาก ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวเพื่อไทย บ้านหลังใหญ่หัวใจเดิม” นับเป็นครั้งแรกที่ แพทองธารหรือ อุ๊งอิ๊ง บุตรสาวอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ลงพื้นที่พร้อมกับเหล่าบรรดาแกนนำของพรรคเพื่อไทย ยิ่งเป็นการลงพื้นที่ในภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย ยิ่งตอกย้ำว่า ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่ใช่การลงพื้นที่ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
ความสำคัญในการลงพื้นที่ในครั้งนี้ จึงซ่อนอยู่ในคำว่า หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ของคนตระกูลชินวัตร ว่าจะเป็นการปูทางไปสู่การเปิดตัวเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในอนาคตหรือไม่ ? แต่ที่ไม่ต้องรอก็คือ คำว่าหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยด้วยคนตระกูลชินวัตร นอกจากกำลังส่งสัญญาณถึงภาพอดีตนายกทักษิณแล้ว ยังอาจกำลังเรียกศิษย์เก่าไทยรักไทยกลับบ้านด้วย
เพื่อไทยกำลังเดินเกมในรูปแบบใดกันแน่?
เอาเข้าจริงแล้วบทบาทในฐานะผู้นำพรรคก็น่าจะเป็นของหมอชลน่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เช่นเดิม คงไม่ได้มีการเปลี่ยนตัวเป็น แพทองธาร แต่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็ชวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า ครอบครัวเพื่อไทยกับพรรคเพื่อไทย อะไรใหญ่กว่ากัน?
เพราะจากคำสัมภาษณ์ของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยกรณีการสูญเสียสมาชิกไปมากจากการยุบพรรคสองครั้ง ตลอดจนที่หลายคนตั้งข้อสงสัยกรณีการเป็นสมาชิกครอบครัว อาจจะเป็นการลดข้อจำกัดของ พ.ร.ป พรรคการเมือง ที่สมาชิกพรรคจะต้องชำระค่าสมาชิก 200 บาทต่อปี หรือไม่ เพราะการเป็นสมาชิกครอบครัว ไม่จำเป็นต้องชำระค่าสมาชิกแต่อย่างใด สมาชิกครอบครัวเพื่อไทยจึงมีโอกาสที่จะใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับฐานคะแนนเสียงเพื่อไทยที่อาจจะมากขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับความต้องการของเพื่อไทยที่หวังจะชนะแบบแลนด์สไลด์หรือไม่?
ลักษณะการเดินเกมของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ ดูจะมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกและอารมณ์ร่วมเป็นพิเศษ ทั้งมีการใช้คำว่า ครอบครัว เพื่อให้ผู้ที่เป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทยรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และการให้ทายาททางสายเลือดของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็ต้องมาดูกันว่าการเดินเกมในลักษณะนี้จะส่งผลให้เพื่อไทยสามารถไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้หรือไม่? และจะถือว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องหรือไม่?
แต่ที่สำคัญการเปิดตัวตอนนี้ อาจจะมีผลต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในเดือนพฤษภาคมด้วยหรือไม่ เพราะแม้นายชัชชาติ จะไม่ได้ลงสมัครในนามเพื่อไทย แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ส่งใครลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้
การเดินเกมของเพื่อไทยในครั้งนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องแบกรับความเสี่ยงอย่างมาก เพราะหากกระแสความนิยมของเพื่อไทยไม่สามารถจุดติด ทั้งที่ได้ส่งตัวละครที่มีแต้มเยอะที่สุดลงมาแล้ว ก็คงยากจะเฟ้นหาตัวละครใหม่มาพลิกสถานการณ์ และอาจส่งผลถึงความเชื่อมั่นและศรัทธาของบรรดาลูกพรรคและครอบครัวพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าการตัดสินใจเดินเกมครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทยจะถูกหรือไม่ แต่ภารกิจสำคัญที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำให้ได้หากต้องการชนะแบบแลนด์สไลด์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องกลืนคะแนนเสียงของฝั่งอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน ให้ได้มากที่สุด ที่ดูแล้วตอนนี้พรรคก้าวไกลจะกินคะแนนคนรุ่นใหม่ไปมาก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่โจทย์ที่ง่ายเลย แต่การตัดสินใจส่ง แพทองธารในฐานะคนรุ่นใหม่ อาจกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้อีก
ถ้าวัดกันในเรื่องของความหนักแน่นทางอุดมการณ์ดูแล้วก้าวไกลจะโดดเด่นอยู่ไม่น้อย ดูได้จากคะแนนเลือกตั้งซ่อมที่เขตหลักสี่เมื่อต้นปี อีกทั้งฐานเสียงของพรรคก้าวไกลที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นพิเศษ ซึ่งในจุดนี้เอง พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์ และอาจต้องชั่งน้ำหนักบางอย่างให้ดี
การขาดหายไปของแกนนำอย่างนายธนาธร นายปิยบุตร และช่อ-พรรณิการ์ ในสภาแม้จะทำให้เสียกำลังไปเยอะ แต่ก้าวไกลก็ยังสามารถดึงดูดแฟนคลับที่ฐานเสียงหลักตนเองได้อยู่ดี แต่ในการเลือกตั้งใหญ่การสูญเสียขุนพลสามคนนี้ ในการหาเสียงก็ต้องดูว่าจะส่งผลต่อคะแนนความนิยมของพรรคก้าวไกลมากน้อยเพียงใด
ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่ได้ลูกสาวนายใหญ่มาเสริมทัพ นอกจากเพิ่มโอกาสในการเรียกฐานคะแนนเสียงเดิมคืนกลับมาให้ได้ แล้วจะสามารถใช้ช่องว่างปัญหาของก้าวไกลช่วงชิงคะแนนเสียงมาได้หรือไม่
แม้จะร่วมชายคาพรรคฝ่ายค้าน แต่เมื่อในท้ายที่สุดก็ต้องเป็นคู่ปรับกันในฐานะคู่แข่งทางการเมือง การฟาดฟันของพรรคฝ่ายค้านทั้งสองนี้จึงน่าติดตามอย่างมาก
ในขณะที่สายตาต่างจับจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ก็มีอีกหนึ่งพรรคการเมือง นั่นคือ พรรคไทยสร้างไทย ของคณหญิงสุดารัตน์ ที่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็ประกาศส่งตัว น.ต.ศิธา ทิวารี ลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. พร้อมผู้สมัครสก.แบบครบชุดเตรียมเดินหน้าหาเสียงสิ้นเดือนนี้
การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ ที่นอกจากจะได้ผู้ว่าฯกทม.ว่าเป็นใครแล้ว ก็พอจะทราบฐานเสียงกทม.ของแต่ละพรรคสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ต้นปีหน้าด้วย
ชัชชาติ ในฐานะตัวเต็งคนหนึ่ง เองอาจจะถูกตัดคะแนนด้วยวิโรจน์จากก้าวไกล หรือ น.ต.ศิธา จากไทยสร้างไทยหรือไม่ ในเขตไหน
หรือ ตัวเต็งอีกฝั่งอย่าง สุชัชวีร์, สกลธี และล่าสุดมีข่าวว่า พลตำรวจเอกอัศวิน ก็อาจเตรียมลาออกมาลงผู้ว่าฯกทม.อีกคนหรือไม่ ก็จะเป็นตัววัดฐานคะแนนปชป. และพปชร. ในรอบนี้เลยว่าจะมีคะแนนสะสมในเขตใดเท่าไร
ปีสุดท้ายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของแต่ละกลุ่ม ล้วนแล้วแต่จะมีความเข้มข้นเป็นพิเศษ รวมถึงอาจมีดีลลับ ทั้งในเรื่องของการโยกย้ายสังกัดพรรคของบรรดาผู้แทนราษฎร รวมถึงดีลลับจับมือระหว่างพรรคการเมือง ทั้งพรรคเก่าและพรรคที่จัดตั้งใหม่ ซึ่งมากกว่าที่คาดคิดจริงๆ แม้จะกลับมาใช้บัตรเลือกตั้งแบบสองใบแล้วก็ตาม
แต่ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. นอกจากจะเป็นตัวชี้วัดฐานเสียงของแต่ละพรรคแล้ว ยังอาจเป็นตัวชี้นำคะแนนนิยมของการเลือกตั้งสส.ในอนาคตด้วย ที่พลเอกประยุทธ์เองก็ไม่อาจพลาดได้ แม้ฐานคะแนนเลือกตั้งท้องถิ่นส่วนใหญ่จะตกเป็นของเครือข่ายพรรคพลังประชารัฐก็ตาม
“สตรีหากใจแข็งขึ้นมา ยังแข็งกระด้างกว่าบุรุษมากนัก”
คมดาบสั้น จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี