• การเข้าร่วมกิจกรรมประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์แบบ
ต้องผ่าน การเข้าร่วม อย่างเป็น “กระบวนการ” ๓ ขั้นตอน
๑. เข้าร่วมตั้งแต่ “เริ่มแรก”
๒. สู้ท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริง
๓. จนจบสถานการณ์
หลังจากนั้น มาสรุปบทเรียน และพัฒนายกระดับตนเอง
@ การเข้าร่วมการต่อสู้ประชาธิปไตย
มาจากการมีหน้าที่และบทบาทที่เกี่ยวข้อง และจิตสำนึกความรับผิดชอบ
• ต้องผ่านทั้ง ๒ ด้าน
ด้านหนึ่ง เป็นความเสี่ยงที่มีอันตราย ตั้งแต่เบา ถึงการสูญเสีย (ที่สุด คือ ชีวิต)
อีกด้านหนึ่ง ทำให้ได้ผ่านทุกขั้นตอนของเหตุการณ์ ด้วยตนเอง ความรับรู้ และความเข้าใจ ที่เป็นจริง จึงมีมากพอควร เป็นการเห็นภาพรวมทั้งหมด ทำให้เข้าใจเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ จับเรื่องได้ถูก ว่า ที่มา ที่ไป เป็นอย่างไร ข้อดีข้ออ่อน คืออะไร ครั้งต่อไป ควรจะแก้ไขปรับปรุง อย่างไร
ผมไม่เคยหยุด : ยังคงเดินหน้าต่อ ด้วยปรารถนาให้ชีวิตมีคุณค่า ตอบแทนคุณแผ่นดิน
• หัวใจของการต่อสู้ประชาธิปไตย เพื่อบรรลุผล หรือให้เกิดผลดีที่สุด คือ “การวิเคราะห์สถานการณ์ ได้อย่างถูกต้องหรือให้ใกล้เคียง” ควรมีการนำเสนอ “ทางเลือกที่มีโอกาสเป็นไปได้” คือ “Scenario” การจะทำได้เช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ข่าวสารข้อมูล ที่เป็นข้อเท็จจริง”
เรื่องข่าวสารข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง
๑.การแสวงหาข้อมูลและข่าวสารที่เป็นจริง
๒.การวิเคราะห์
๓.การนำไปดำเนินการ
๔.การสรุป ประเมินผล
• เราจะแสวงหาข้อมูลข่าวสาร ที่ใกล้เคียงกับความจริงได้อย่างไร
๑.การศึกษา หาความรู้ และข้อเท็จจริงในสังคมไทย ทั้งในอดีต (ประวัติศาสตร์) ปัจจุบันและอนาคต
๒.ติดตามข้อมูลข่าวสารเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทั้งในไทย และสากล (ต้องอ่าน อาจจะหลายรอบ และทำความเข้าใจให้รับรู้ได้จริง)
๓.มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับผู้นำ และผู้รู้ต่างๆ เป็นประจำ
๔.การศึกษา ทำความเข้าใจ “ประวัติ และหลักคิด” ของผู้นำที่สำคัญ ให้รับรู้แนวคิด และหลักคิดฯ
๕.ศึกษาและพัฒนา “กรอบคิดของตัวเอง” ให้รู้เท่าทันสถานการณ์ ตามความเป็นจริง
รวมทั้ง “ทักษะ” ในการแสวงหาความจริง ด้วยท่าที “การศึกษาเรียนรู้”
ที่เคารพ และให้เกียรติผู้อื่น ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย
หลักคิดที่สำคัญยิ่ง คือ “การแสวงหาสัจจะ จากความเป็นจริง”
๖.การเข้าร่วม ในเหตุการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่สำคัญ เป็นการประสาน “ทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติ” และการประยุกต์ เข้าสู่ความจริง
๗.ต้องมี “มิตรคู่คิด” ที่เชื่อใจ ไว้ใจได้
๘.การหมั่นทบทวน และสรุปบทเรียนเป็นประจำ
ประเด็นที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง จากประสบการณ์ในการเป็นผู้นำที่สามารถนำพาฯ ไปสู่ความสำเร็จ
๑.การคิดและทำ อย่างเอาจริง เอาใจจดจ่อ
๒.การผ่อนคลาย การใช้จิต ที่สงบ มีสมาธิ มีปัญญา ที่จะมองเห็น “ทิศทางแลทางออกได้” หลายครั้ง ที่เราทุ่มเท จนเครียด ในการแก้วิกฤต แต่ยังไม่สามารถ “คิดออก” แต่เราหยุด และเปลี่ยนมาพัก ผ่อนคลาย ไปพ้นจาก “สภาวะตึงเครียด”
ช่วงเวลา ที่ “ใจสงบ” สติมา ปัญญาเกิด เราจะเห็น“แสงสว่าง”
• หลักคิดในการวิเคราะห์ และการทำความเข้าใจ “ข้อมูลข่าวสารต่างๆ” ให้เข้าใกล้ความจริง
๑.หลักคิดแบบวิทยาศาสตร์ คือ SCIENCE คือ มีเหตุผล ที่มาที่ไป และพิสูจน์ ตรวจสอบได้ทั้งไปข้างหน้า และย้อนกลับ
Engineering Thought :
๑.Input
๒.Process
๓.Output
๒. หลักคิดแบบ Non SCIENCE คือ เน้นความเชื่อ สิ่งที่บอกกล่าวต่อๆ กันมา จากผู้ที่น่าเคารพหรือการตีความประวัติศาสตร์ การยึดและเอา “กรอบคิด และประวัติศาสตร์ต่างประเทศ ที่ดูดี” มาใช้ในสังคมไทย โดยไม่ได้คิดวิเคราะห์ หรือ นำมาประยุกต์ ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่ต่างไป
• สังคมไทย มีปัญหามาก เพราะผู้นำที่ก่อหรือหวังการเปลี่ยนแปลง นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์
สื่อมวลชน ฯลฯ มีความคิดแบบที่ ๒ มีส่วนสำคัญยิ่ง ที่ทำให้ “หลักทฤษฎี หรือกรอบคิด ที่นำมาใช้เปลี่ยนแปลงประเทศ” ติดหล่มไม่ไปไหน จักทำให้ความคิดของเขา เปลี่ยนจาก “อุดมคติ” เป็น อคติ มีแต่ “โลภ โกรธ หลง” เป็นมิจฉาทิฐิ
• ขอสรุป กิจกรรม และเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองที่ได้ผ่านมา (ต่อ)
เข้าร่วมการเคลื่อนไหว ต่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ๒๕๔๐
เป็นรัฐธรรมนูญ ที่มีหลักที่ดีที่สุด ฉบับหนึ่ง แต่มาถูกบิดเบือนและทำให้เสียหาย โดยอดีตนายกรัฐมนตรีทุนสามานย์
• ได้รับคัดเลือกจากสถาบันพระปกเกล้า เข้าเรียน
หลักสูตรผู้บริหารการเมืองการปกครอง รุ่นที่ ๒ ของสถาบันพระปกเกล้า (๒๕๓๙-๒๕๔๐)
เป็นหลักสูตรหลักของสถาบันพระปกเกล้า ที่มีผู้สมัครมาก แต่รับได้ในจำนวนจำกัดผู้เข้าร่วมฯ ในรุ่นนี้ มีระดับรัฐมนตรี สส. ผู้บริหารธุรกิจ นักการเมือง สื่อ และภาคประชาชน
• ได้รับเชิญจาก ดร.ภูษณ ปรีย์มาโนช ให้ไปร่วมสร้างงานภาคประชาชน :ที่ตึกช้าง ผมได้จัดตั้ง “สถาบันพัฒนาการเมืองและคุณภาพคน”ซึ่งมีบทบาทสูงมาก และมีผลงานมากมาย ทั้งในด้านภาคประชาชนจัดพิมพ์หนังสือวิชาการ การจัดกิจกรรม การเคลื่อนไหวในต่างจังหวัดโดยเฉพาะเรื่องของ “สภาเกษตรกรแห่งชาติ” (๒๕๔๒-๒๕๔๙)
• ร่วมงาน สมาคมสหพันธ์เกษตรกรเพื่อการพัฒนา (สกพ.)ปี ๒๕๔๓-๒๕๕๑
เป็นองค์กรด้านเกษตรกรระดับชาติ ที่เชื่อมโยงกับสากล ทั้งเอเชียและทางยุโรป โดยรับหน้าที่ “เลขาธิการ” ได้สร้างผลงานต่างๆ มากพอควรและที่นี้ ทำให้ได้ไปศึกษาดูงานและร่วมงานกับองค์กรเกษตรกรของเอเชียและยุโรป ทั้งฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เนเธอร์แลนด์ สเปน ฯลฯ
• ได้รับการคัดเลือกจากองค์กรทั่วประเทศ ให้เป็น
สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรุ่นที่ ๑ ปี ๒๕๔๔-๒๕๔๘ :
ท่านอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน การอยู่และทำงานในองค์กรนี้ ได้ประสบการณ์ ที่มีคุณค่ามาก
๑. การได้ร่วมงานกับสมาชิก ๙๙ คน ที่มาจากภาคส่วนต่างๆทั่วประเทศ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่างๆ ในสังคม
๒. การได้เห็น รับฟัง ทัศนะความคิดของผู้นำต่างๆ โดยเฉพาะท่านอานันท์ ปันยารชุน และผู้นำอีกหลายท่าน
๓. การได้ออกไปดูงานต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ “โครงการพระราชดำริ” โดยไปกับท่านอานันท์ ได้อะไร ที่แตกต่างไปจากไปที่อื่นๆ และท่านอื่นๆ
๔. ได้เห็น “การนำการประชุม การแก้ปัญหาภายใน และให้ทัศนะ ประสบการณ์ในการทำงาน” ของประธาน รองประธาน หัวหน้าคณะทำงานต่างๆ และสมาชิก เป็นอะไรที่สุดวิเศษ และหายากมาก ในการทำงานฯ
• การเข้าร่วม ก่อตั้ง และร่วมงาน กับ “กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) ปี ๒๕๔๘-๒๕๕๓
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจ ในข้อเท็จจริงก่อน ก่อนหน้ามีแกนนำ ๕ คน และผู้ประสานงาน ๑ คน ที่สังคมได้รับรู้ มีการรวมกลุ่มภาคประชาชน หลากหลายกลุ่มขึ้น และมีการเคลื่อนไหวมาก่อน
ผม ได้เป็นคนหนึ่งในการเริ่มต้น
พธม. มีช่วงการทำงาน ที่ PEAK และตกต่ำ ตามเงื่อนไขและจังหวะของสถานการณ์และมีช่วงที่แกนนำ มีความรักความสามัคคีอันดีต่อกัน แต่มีบางช่วงมีความขัดแย้งกันภายใน แต่ก็สามารถดำเนินการไปได้ดีพอควร
ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นและหนักหน่วง มีบางเรื่อง คือ
๑. ความขัดแย้ง เรื่องการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในยุคที่ ๒ที่คุณสนธิ มีความคิดต่างไปจาก คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข และคณะที่มีการใช้ความรุนแรงพอควร
๒. การนำเสนอ NO VOTE ของแกนนำบางคน ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยในบางระดับทำให้คะแนนของประชาชนที่สนับสนุน พธม. หายไปจำนวนหลักล้าน ทำให้บางพรรคได้รับผลพวง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
๓. เรื่องคดี พธม. ที่แกนนำบางคน และ ทนายความ ตัดสินใจโดยพลการไม่ปรึกษาหารือกัน แกนนำคนอื่นๆ ที่ถูกคดีต่อมา แกนนำหลายคน ต้องไปหาทนายความใหม่ ในการสู้คดี โดยต้องใช้เงินเอง
๔. เรื่องบทบาทการนำของแกนนำ พธม.บางคน ช่วงก่อเกิด “กปปส.” ที่มีการกระทำที่ไม่เหมาะสมบางประการ
๕. เรื่องใหญ่ที่ควรจะเป็นบทเรียน ต่อการต่อสู้ของประชาชนต่อไปในอนาคต
(๑) การมีส่วนร่วมของประชามหาชน ที่เข้าร่วม ซึ่งมีน้อยมากการตัดสินใจ มาจากแกนนำ และอ้างว่า “ได้ปรึกษาประชาชนแล้ว”
(๒) เรื่องความโปร่งใส ทางด้านการเงิน ที่ควรจะมีการแถลงรายละเอียดทุกครั้ง ต่อเนื่อง
• การเข้าร่วมกับ กปปส. ในการต่อสู้ กับระบอบทักษิณ (๒๕๕๖-๒๕๕๗)
โดยภาพรวม มีการพัฒนาในการร่วมมือกันทำงาน และการระดมคน การให้ข้อมูลข่าวสาร และการประสานงานกันดีกว่า การชุมนุมที่ผ่านมา
แต่มีเรื่องสำคัญ ที่แกนนำ ผู้เข้าร่วมชุมนุม ควรต้องตระหนักในความจริงบางประการ คือ
๑. การชุมนุมของประชามหาชน
(๑) มีความจำกัด เนื่องจากไม่มีการจัดตั้ง (คุณภาพในการต่อสู้) จะอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วจะเลิกราไป
(๒) มวลชนที่มาร่วมชุมนุม แม้มีจำนวนเป็นล้าน แต่ไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงได้ หากไม่มีพลังสำคัญที่ชี้ขาดมาร่วม เช่น กองทัพฯ
(๓) จำนวนคนที่มาร่วม ขึ้นกับประเด็นที่นำเสนอ และความเลวฯของคนที่จะต่อต้านในการชุมนุมของกปปส. เนื่องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำผิดรัฐธรรมนูญ มีการโกงกินมโหฬาร การบริหารผิดพลาดเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชนและประเทศ คนจึงมามากทุกสาขาอาชีพ
๒. หลังจากการรัฐประหาร โดยกองทัพไปแล้ว มีการจัดตั้งรัฐบาล
(๑) ผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดแต่ฝ่ายเดียว ยังมีสภา และศาลฯ ซึ่งมีอำนาจของตน เป็นอิสระ ไม่สามารถก้าวก่ายได้ โดยเฉพาะศาล
(๒) นอกจากนี้ อำนาจของพรรคการเมือง และข้าราชการ รวมทั้งทุนใหญ่ ยังมีบทบาท ที่มาคานอำนวจของนายกฯได้ในหลายเรื่อง
(๓) ความน้อยใจ ไม่พอใจ ที่คิดว่า “นายกฯ” ไม่ช่วยคดีที่แกนนำบางส่วนโดน น่าจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด
๓.หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๒๕๖๐ และมีการเลือกตั้ง ปี ๒๕๖๒ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไป คือ “รัฐบาลประชาธิปไตย” ความจริง สังคมทั่วโลกก็เข้าใจดีอยู่แล้ว แต่มีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน นักวิชาการ และพวกพ้องมาสร้างความสับสน โดย เรียกว่า “รัฐบาลชุดนี้ เป็น เผด็จการ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี