วันนี้คือวันแรกของการรับสมัครผู้ท้าชิงผู้ว่าฯกทม.ในรอบหลายปีก่อนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ กมธ.วิสามัญพิจารณาพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง จะเร่งประชุมเพื่อขมวดกติกาเลือกตั้งก่อนเข้าสู่สภาในเดือนพฤษภาคมนี้เช่นกัน ในขณะที่รัฐบาลกำลังเผชิญภาวะพิษเศรษฐกิจจากโควิดซ้ำด้วยผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งต้องเร่งแก้หรือมีมาตรการที่ทำให้ประชาชนพึงพอใจโดยเร็ว เพราะทั้งหมดล้วนส่งผลต่อชัยชนะเลือกตั้งที่คาดว่าอาจจะมีการเลือกตั้งสิ้นปีนี้หลังการประชุมเอเปก
การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จากครั้งสุดท้ายคือเมื่อปีพ.ศ.2556 ก่อนจะมีรัฐประหารที่ยาวนาน และเลือกตั้งสส.ทั่วไปอีก 1 ครั้ง กว่า 9 ปีผ่านไป พรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่มากมายและกลายมาเป็นพรรคขนาดกลางและใหญ่ก็มาก นักการเมืองรุ่นเก่าวางมือไปก็มาก จึงยากที่จะนำสถิติเก่ามาวัดหรือประเมินอะไร
หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน 1 ล้าน 2 แสนคะแนน เอาชนะ พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ พรรคเพื่อไทยที่ได้ไป 1 ล้านคะแนน ทิ้งห่างลำดับสามและสี่แบบไม่เห็นฝุ่น และนับเป็นครั้งที่มีคะแนนผู้ชนะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ครั้งนี้อาจจะยากที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปมาก รวมถึงฐานคะแนนพรรคการเมืองจากการเลือกตั้งสส.ปี 2562 ที่เปลี่ยนไปมากแล้ว บวกกับครั้งนี้ที่ผู้สมัครที่เป็นตัวเก็งหลายคน เลือกที่จะลงอิสระแบบไม่สังกัดพรรค
อย่างคนที่เปิดตัวหลังสุดแต่ก็นับได้ว่าเป็นตัวเก็งคนหนึ่ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่พึ่งยุติบทบาทในการเป็นพ่อเมืองกรุงเทพฯ ไปหมาดๆ เพื่อลงชิงชัยในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯในนามของกลุ่มรักษ์กรุงเทพ ปิดฉากระยะเวลาการทำงานกว่า 5 ปีในฐานะอดีตผู้ว่าฯกทม.และอีก 3 ปีในฐานะอดีตรองผู้ว่าฯกทม. จึงเต็มไปด้วยทั้งภาพจำและ ความทรงจำทั้งบวกและลบของคนกทม. ที่นับเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งในคนเดียวกัน แต่ก็ยังนับว่าเป็นผู้ที่มีแต้มต่อกว่าผู้สมัครทั้งหมดในกระดานตอนนี้ พร้อมกันนี้ กลุ่มรักษ์กรุงเทพ ยังได้ส่งสก.ครบทีมทุกเขตในครั้งนี้ด้วย ซ้ำยังมีข่าวการได้รับการสนับสนุนจากฐานเสียงกปปส.กทม.ด้วยหรือไม่? และแม้จะไม่ลงในนามพรรคพูดได้ว่าเป็นผู้สมัครอิสระ แต่ก็มักจะถูกโยงกับรัฐบาล ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็เลือกที่จะไม่ส่งผู้ว่าฯกทม. แม้จะบอกว่าจะส่งคนลง สก.ครบทุกเขตก็ตาม
แต่ก็ยังพูดเช่นนั้นได้ไม่เต็มปาก เพราะคู่แข่ง พล.ต.อ.อัศวิน ที่น่าจับตาคือ รองฯจั๊ม-นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯกทม.ซึ่งถ้านับไปแล้ว สกลธี ยังมีความใกล้ชิดพรรคพลังประชารัฐมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะอยู่มาตั้งแต่ช่วงก่อตั้งพรรค แต่ได้ตัดสินใจที่จะลงสมัครในนามอิสระ ซึ่งนายสกลธีก็เว้นช่องไม่ส่งทีมลงสก.ด้วย และถ้าจะนับความเชื่อมโยงกับฐานเสียง กปปส.ในกทม. ก็อาจจะต้องบอกว่าเชื่อมโยงบรรดาแฟนคลับกปปส.กทม. มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 คนก็มีความยึดโยงกับสายพล.อ. ประยุทธ์ทั้งคู่ จึงวัดยากว่าคะแนนฐานนิยมพล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจเลือกใคร คะแนนฐานพลังประชารัฐในการเลือกตั้งสส.ปี’62 กว่า 7 แสน 9 หมื่นคะแนน แม้จะมาเป็นที่หนึ่งแต่ปัจจุบันนี้ยังจะคงมีฐานคะแนนเช่นเดิมหรือไม่ และยิ่งต้องถูกแบ่งฐานคะแนนก็อาจจะทำให้ยากลำบากขึ้นไปอีก
เช่นเดียวกับตัวแทนจากพรรคไทยสร้างไทย อย่าง น.ต.ศิธา ทิวารี และ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่แม้จะลงสมัครในนามอิสระ แต่ก็อาจจะได้ฐานคะแนนนิยมสายอดีตนายกฯทักษิณเช่นเดียวกัน แต่แม้ ดร.ชัชชาติ จะบอกว่าจะลงอิสระ แต่ก็ถูกตั้งคำถามจากสื่อว่าฐานคะแนนเพื่อไทยจะไปลงคะแนนให้ใคร เพราะเพื่อไทยเอง ส่ง สก.ลงครบทุกเขต ขณะที่เว้นตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ไว้ ซึ่งในจุดนี้ ดร.ชัชชาติ อาจถูกมองว่าได้เปรียบในฐานเพื่อไทยมากกว่าตรงที่ น.ต.ศิธา ลงในนามพรรคไทยสร้างไทยชัดเจนไปแล้ว แต่เมื่อเลือกตั้ง ปี’62 เพื่อไทยเองได้คะแนนรวมฐานกทม.ไปในลำดับที่สาม6 แสนกว่าคะแนน ยังห่างไกลฐานเดิมเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่เคยทำไว้1 ล้านคะแนน และหากยังต้องมาแบ่งกับไทยสร้างไทยอีกก็ยังนับว่าต้องลุ้นอีกไม่น้อย
แต่ถ้าจะนับคะแนนจากฐาน สก. พบว่าที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ยึดกระดานเสียงข้างมากในสภากทม.มาตลอด ที่ได้เป็นผู้ว่าฯกทม. ครั้งนี้ประชาธิปัตย์จึงคาดหวังจะดึงฐานท้องถิ่นนี่มาผลักดัน ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เป็นตัวเต็งผู้ว่าฯกทม. แต่ก็ไม่น่าง่ายอย่างที่คิดเพราะแม้แต่อดีตสก.เองก็ย้ายออกไปไม่น้อย ยังไม่รวมที่ได้เป็น สส. ไปแล้วก็หลายคนจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา บวกกับคะแนนเลือกตั้งสส.ปี’62 ที่ฐานคะแนนรวมได้ไปเพียง 4 แสนกว่าคะแนน ห่างไกลหนึ่งล้านอย่างที่เคยได้ การตัดคะแนนที่เชื่อว่าเป็นฐานเดียวกันในครั้งนี้ บวกกับตัวเต็งที่มีมากมายเช่นนี้จึงเชื่อว่า หากไม่มีอะไรมาทำให้เกิดการพลิกเกมก่อนเลือกตั้ง จะทำให้คะแนนชนะเลือกตั้งของผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้มีคะแนนไม่มาก
และนั่นก็เป็นเหตุให้หันไปมองวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตัวแทนจากก้าวไกล เพราะจากผลคะแนนเลือกตั้งเมื่อปี 2562 กว่า8แสนคะแนน บวกกับฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นเฉพาะตัว อย่างเมื่อตอนเลือกตั้งซ่อมที่เขตหลักสี่แม้ไม่ได้ที่หนึ่งแต่ก็ได้ไป 2 หมื่นคะแนนตามฐานพรรคแบบเหนียวแน่นทำให้เห็นว่าฐานของก้าวไกลมีฐานเฉพาะตัวหากผู้ชนะเลือกตั้งกทม.ครั้งนี้ มีคะแนนไม่สูงมากก็น่าคิดไม่น้อย แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าก้าวไกลเองก็ไม่เคยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียวซึ่งก็ไม่รู้ว่าคะแนนสนามใหญ่จะเป็นเครื่องการันตีได้หรือไม่
และแม้พลังประชารัฐและเพื่อไทยจะถูกมองว่าเป็นเพียงสองพรรคที่มีความได้เปรียบจากคะแนนผู้นำท้องถิ่นในทั่วประเทศที่มีการเลือกตั้งตลอดทั้งปีที่แล้วได้เป็นกอบเป็นกำเพียงสองพรรค แต่สำหรับกทม.เพียงจังหวัดเดียวอาจมีความสำคัญกว่านั้นมาก
ตอนนี้จึงคาดเดาได้ยากมากว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จะส่งผลอย่างแน่นอนต่อกระแสและเป็นปัจจัยสำคัญต่อการจัดการเลือกตั้งที่ พรรคการเมืองที่คิดว่าจะสู้ในสนามกทม.เลือกตั้งใหญ่มิอาจจะปล่อยไปได้ หากแต่เครื่องมือที่สำคัญของชัยชนะในการเลือกตั้งก็คือกติกาการเลือกตั้ง นี่ไม่ได้พูดถึงการทุจริตในการเลือกตั้งแต่อย่างใด เพราะเพียงแต่ความได้เปรียบที่กติกาว่า กติกาแบบใดเหมาะกับฐานเสียงหรือลักษณะการเลือกตั้งของฐานพรรคแบบใดก็นับว่าได้เปรียบมากแล้ว
ตอนนี้ที่กำลังเป็นประเด็นหลักก็คือ จากกรณีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ที่กรรมาธิการได้เคาะแล้วว่าจะใช้ระบบบัตรสองใบคนละเบอร์กัน ซึ่งก็ทำให้มีคำถามตามมาว่าเข้าทางใครหรือไม่?
ที่ผ่านมามีการพูดถึงว่าหากใช้รูปแบบหมายเลขเบอร์เดียวทั้งประเทศ พรรคการเมืองที่มีฐานคะแนนนิยมพรรคหรือหัวหน้าพรรคมากกว่า ผู้แทนในเขตนั้น จะได้รับประโยชน์ทันที เพราะจะใช้ความนิยมพรรคหรือหัวหน้าพรรคมาดึงความสนใจจากฐานเสียงในเขตที่ผู้สมัครไม่เป็นที่จดจำแทน ยิ่งโดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่ใช้การหาเสียงทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จะถูกตั้งคำถามว่าบัตรสองใบจะมีค่าเท่ากับบัตรใบเดียวหรือไม่
ในขณะที่หากบัตรเลือกตั้งเป็นคนละเบอร์ ผู้สมัครที่ยึดโยงกับพื้นที่ จะมีความได้เปรียบขึ้นมาทันที โดยใช้ปัจจัยฐานนิยมตนเองมากกว่าฐานนิยมพรรคด้วย ซึ่งก็หมายถึงว่าการเลือกตั้งในรอบต่อไป พรรคขนาดกลาง เล็ก หรือพรรคที่มีท้องถิ่นฐานคะแนนชัดเจนย่อมได้เปรียบกว่าแน่นอน
ความแตกต่างนี้จึงกลายเป็นความได้เปรียบเสียเปรียบนี้ ในทางเทคนิค ที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นพรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก แต่จะเป็นความได้เปรียบที่มีนัยสำคัญที่ต่อให้กมธ. ลงมติไปทางใดอีกฝ่ายคงไม่มีทางยอม ต้องไปสู้ต่อในสภาอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาต่อฐานเสียงรัฐบาลในตอนนี้คือการบริหารประเทศในโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่ทุกรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งจะต้องเจอ เพราะจะเป็นภาพจำตลอดเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามใช้โจมตีในตอนหาเสียง ในขณะที่เกินกว่าครึ่งของการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ต้องเจอกับสภาวการณ์โควิดและผลกระทบจากโควิดโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้แล้วรัฐบาลยังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยปัญหาวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่กำลังส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเตรียมพร้อม เพื่อรองรับกับผลกระทบที่ตามมา ก่อนที่ผลพวงของสงครามโดยเฉพาะวิกฤตด้านพลังงาน จะเข้ามาเชื้อเพลิงปลุกปั่นกระแสการเมืองในประเทศแทน
แม้จะเป็นวิกฤตแน่ๆ แต่เพียง 8 เดือนสุดท้ายหากรัฐบาลสามารถพลิกสถานการณ์จัดการได้ดี จะทำให้ความทรงจำในอดีตทั้งหมดที่เป็นปัญหาอาจถูกลบเลือนและแทนที่ด้วยความพึงพอใจ แต่ถ้าจัดการได้ไม่ดีแล้วกลับจะยิ่งกลายเป็นจุดอ่อนทันที
ปีนี้เราจึงจะได้เห็นการขยับภาคต่อขอบัตรประชารัฐรวมถึงสวัสดิการรัฐอื่นๆ ที่เว้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่อาจจะออกมาใหม่เพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนนี้เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภาวะโควิด
เริ่มด้วยล่าสุดที่ได้มีการออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงคราม เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบที่น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการตรึงราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หรือเพิ่มเงินช่วยเหลือซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดิม 45 บาท เป็น 100 บาทต่อเดือน อีกทั้งยังมีมาตรการลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตน ม.39 จาก 9% เหลือ 1.9% และ ม.40ลดลงเหลือเพียง 42 – 180 บาทต่อเดือน ซึ่งในแง่ของการอุปโภค-บริโภค ด้านพลังงาน ถือว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ก็ได้ช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่องมาตลอด และแม้พอจะบรรเทาความเดือดร้อนจากประชาชนได้บ้าง แต่ปัญหาด้านพลังงานไม่ใช่ปัญหาเดียวที่พบ
ภาคการท่องเที่ยวที่น่าจะเป็นความหวัง หลังเปิดประเทศ แต่เมื่อสถานการณ์โควิดทั่วโลกยังไม่ดีขึ้น ซ้ำเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นอีก ก็อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยให้นักท่องเที่ยวต่างชะลอแผนการเดินทางมายังนอกประเทศ และจะส่งผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ภาคการเกษตรที่ไม่คิดว่าจะโดนก็โดนด้วยเช่นกัน ในความเป็นจริงทั้งรัสเซียและยูเครนก็ต่างเป็นผู้ผลิตปุ๋ยเคมีรายใหญ่ ซึ่งประเทศไทยเอง ก็ต้องอาศัยการพึ่งพานำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศ กว่าปีละ 5 ล้านตัน ซึ่งเมื่อเกิดสภาวะความไม่สงบของสองประเทศผู้ผลิต ก็เป็นผลให้ราคาของปุ๋ยเคมีนั้นปรับตัวสูงขึ้นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอาจเป็นเกษตรกรก็จริง แต่เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
วิกฤตการเมืองสู่วิกฤตเศรษฐกิจปากท้องที่ต้องติดตามว่าโค้งสุดท้ายของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพราะหากแก้ได้ก็จะเป็นแต้มต่อก่อนการเลือกตั้งในครั้งหน้า แต่ถ้าไม่ได้ก็จะเป็นแผลที่ยากต่อการลบล้าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจปากท้อง ภาคครัวเรือนที่กระทบวิถีชีวิตของผู้คน ก็ต้องอาศัยมาตรการทางเศรษฐกิจที่ดีพอในการกู้วิกฤตดังกล่าว ไม่ใช่เพียงนโยบายแจกเงินผันเงินแบบแต่ก่อนที่ใช้มา เพราะอีกไม่นานจะเห็นว่าทุกพรรคจะเริ่มมีการประกาศนโยบายของพรรคตนเองต่อการหาเสียงครั้งหน้า จึงหวังว่าจะไม่ใช่การแข่งกันแจกอีก ประชาชนคาดหวังมาตรการที่จะยั่งยืนและมีประสิทธิภาพพอจะทำให้หายใจต่อไปได้ ลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งหากพรรคการเมืองใดหวังว่าจะมีชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าเรื่องนี้น่าจะสำคัญที่สุด
“บุรุษเพศ หากไม่ยอมรับชะตากรรม สามารถต่อสู้ดิ้นรนชีวิต
ก็นับเป็นชายชาติอันเข้มแข็ง วีรบุรุษที่แท้จริง”
จับอิดนึ้ง จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี