ขณะนี้ ยังไม่ปรากฏว่ามีการเซ็นสัญญา ระหว่างกรมธนารักษ์กับบริษัทวงษ์สยามก่อสร้างฯ
1. ขณะที่ยังไม่เซ็นสัญญากับเอกชนรายใหม่ ก็ไม่ปรากฏความเสียหายใดๆ
โดยบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (อีสท์วอเตอร์) ก็ยังคงทำหน้าที่บริหารท่อน้ำทั้ง 3 สาย ตามมติ ครม.เดิม ที่ให้สิทธิและหน้าที่ไว้ ในฐานะบริษัทที่การประปาส่วนภูมาค (กปภ.) จัดตั้งขึ้นเพื่อภารกิจนี้นั่นเอง
นั่นตอกย้ำว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบไปเซ็นกับเอกชนรายใหม่เลย ในขณะที่ข้อพิพาททั้งหลายยังอยู่ในชั้นไต่สวนของศาลปกครอง
2. ที่ผ่านมา การคัดเลือกเอกชนในการจัดให้เช่า/บริหาร ระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกในพื้นที่ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง มูลค่าผลประโยชน์กว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เกิดกรณีปัญหาจากการที่กรมธนารักษ์ ตัดสินใจรื้อ แก้ไข การประมูลครั้งแรก
การประมูลครั้งแรก ปรากฏว่า อีสท์วอเตอร์ เป็นผู้ได้คะแนนสูงสุด 173 คะแนน ส่วนบริษัทวงษ์สยาม ได้คะแนน 170 คะแนน
แต่คณะกรรมการคัดเลือกกลับมีมติยกเลิกการประมูลดังกล่าวและให้ประมูลใหม่ โดยอ้างว่าเงื่อนไข TOR ไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่ คณะกรรมการคัดเลือกเป็นผู้กำหนดและพิจารณามีมติรับรอง ก่อนที่จะให้เอกชนเสนอรายละเอียดเข้าร่วมประมูล
ส่งผลให้อีสท์วอเตอร์ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ และกรมธนารักษ์ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติหรือคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนฯ ของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ และเพิกถอนประกาศพร้อมหนังสือเชิญชวนฉบับใหม่
ต่อมา ในการเปิดประมูลครั้งที่สอง ปรากฏว่า บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง (ซึ่งคะแนนต่ำกว่าอีสท์วอเตอร์ในการประมูลครั้งแรก) ได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐ 25,693 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี มากกว่าอีสท์วอเตอร์ซึ่งเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐ 24,212 ล้านบาท
ระหว่างคดีอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครอง หน่วยงานรัฐใช้วิธีขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การถึง 5 ครั้ง ขณะเดียวกัน กลับเร่งรีบเสนอให้คณะกรรมการที่ราชพัสดุพิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกรอบสองดังกล่าว
ยิ่งกว่านั้น เมื่อคณะกรรมการที่ราชพัสดุมีมติให้รอผลการตัดสินของศาลปกครอง (มติ 6 ต่อ 4) และต่อมา ศาลปกครองก็มีคำสั่งให้พิจารณาคดีโดยเร่งด่วน แต่ปรากฏว่าบอร์ดที่ราชพัสดุกลับมีการประชุมเปลี่ยนแปลงมติเดิมให้เดินหน้าเซ็นสัญญากับบริษัทวงษ์สยาม ทำให้อีสท์วอเตอร์ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองอีกครั้งเพื่อให้พิจารณาไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราวขณะนี้อยู่ระหว่างไต่สวน
เหตุใดหน่วยงานรัฐ จึงรีบเร่งถึงขนาดนี้?
ถึงขนาดไม่รอศาล ไม่รอแม้กระทั่งเมื่อศาลสั่งว่าใช้วิธีการพิจารณาโดยเร่งด่วน
อะไรทำให้คณะกรรมการที่ราชพัสดุเปลี่ยนใจจากรอคำตัดสินศาลปกครอง เป็นไม่รอ ทั้งๆ ที่ การรอศาลตัดสินก็ไม่ปรากฏว่าเกิดความเสียหายอะไรเลยแก่การบริหารจัดการจ่ายน้ำในอีอีซี
3. ในทางตรงกันข้าม หากลงนามสัญญาไปทั้งที่ยังมีข้อพิพาท ไม่รอการตัดสินของศาล(ซึ่งไม่น่าจะล่าช้า เพราะศาลสั่งให้ใช้วิธีเร่งด่วนแล้ว) อาจถูกทั้งสองฝ่ายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย ใครจะเป็นผู้จ่าย หากเกิดค่าโง่ ซึ่งสุดท้ายก็จะให้ประชาชนรับภาระจ่ายแทนภาครัฐหรือไม่?
4. ตลอดมา อีสท์วอเตอร์เป็นผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำในพื้นที่อีอีซี เป็นตามมติ ครม. ก่อนหน้านี้
ย้ำ ตามมติ ครม.
กปภ.ก่อตั้งให้อีสท์วอเตอร์เป็นองค์กรหลักจัดการท่อส่งน้ำให้ EEC จัดการน้ำอย่างเป็นเอกภาพ เป็นแนวทางตามมติครม. เริ่มแรกเมื่อปี 2535 ยุครัฐบาลอานันท์ และมติ ครม.ต่อเนื่องหลังจากนั้น
ปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ภาครัฐ กปภ. และ กนอ. ถือหุ้นรวมประมาณร้อยละ 45
น่าคิดว่า วันดีคืนดี จะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางตามมติ ครม.เดิม โดยคัดเลือกให้เอกชนทั่วไปเข้ามาบริหารจัดการท่อส่งน้ำในอีอีซีแทน การเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ ควรจะต้องสอบถามและให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบรอบด้านโดยมติ ครม.ก่อนหรือไม่
เพราะการให้เอกชนมาบริหารท่อน้ำ ไม่มีแค่มิติค่าตอบแทนที่เอกชนให้รัฐอย่างเดียวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มากกว่านั้น คือ การดำเนินนสอดประสานตามนโยบายของรัฐซึ่งมีโครงการพัฒนาสำคัญในพื้นที่อีอีซี ความมั่นคงด้านน้ำ ความเป็นเอกภาพในการจัดการ อันเป็นแนวทางตามมติ ครม.เดิมนั่นเอง
5. การฆ่าตัดตอนอีสท์วอเตอร์
น่าแปลกใจที่มีการออกข่าวบิดเบือนโจมตี พยายามฆ่าตัดตอนอีสท์วอเตอร์ ในลักษณะว่า อีสท์วอเตอร์จ่ายผลตอบแทนแก่ภาครัฐในอดีตเพียง 550 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อดิสเครดิต ทำลายภาพลักษณ์
ในความเป็นจริง ผลตอบแทนในอดีต 550 ล้านบาทนั้น เป็นเฉพาะส่วนที่อีสท์วอเตอร์จ่ายให้กรมธนารักษ์ ตามสัญญาที่ทำไว้แต่ต้น และจ่ายระหว่างรอทำสัญญาในอัตราร้อยละ 1 ถึง 7 ของรายได้จำหน่ายน้ำดิบ
นอกจากนั้น ยังมีผลประโยชน์ต่อภาครัฐอื่นๆ ที่อีสท์วอเตอร์มอบให้แก่ภาครัฐ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมมากกว่า 32,000 ล้านได้แก่
การลงทุนเพื่อขยายโครงข่ายท่อส่งน้ำ มากกว่า 20,000 ล้านบาท โดยไม่ใช้งบประมาณภาครัฐเลย เพื่อส่งน้ำให้ทั้งพื้นที่ EEC อย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพสูง น้ำสูญเสียต่ำ มีทั้งการจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่ม การวางท่อเพิ่ม การสำรองน้ำหน้าแล้ง การส่งน้ำได้ต่อเนื่องแม้ไฟฟ้าดับ เพื่อเสริมจุดอ่อนของท่อกรมธนารักษ์ที่มีข้อจำกัดอยู่
เงินปันผลจากการดำเนินกิจการกลับคืนสู่ภาครัฐ มากกว่า 5,200 ล้านบาท โดยที่อีสท์วอเตอร์รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำดิบ ค่าบุคลากร ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา โดยกำไรที่ได้มาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนหนึ่งได้ปันผลคืนสู่ภาครัฐโดยตรงให้แก่ กปภ. และ กนอ.
Capital Gain จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 6,000 ล้านบาท โดยคิดเฉพาะส่วนที่เป็นภาครัฐถืออยู่มูลค่า 7,650 ล้านบาท หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
6. เรื่องราวซับซ้อนน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อปรากฏว่า ตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นของ “อีสท์วอเตอร์” ได้เข้ายื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ตรวจสอบการดำเนินการและบริหารงานของประธานคณะกรรมการบริษัท และกระบวนการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท
รายงานข่าวระบุว่า ตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นของ “อีสท์วอเตอร์” เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ผู้ถือหุ้นมีอยู่นั้น พบว่ามีเหตุอันควรสงสัยหลายประการว่า ประธานคณะกรรมการบริษัทฯอาจมีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อจรรยาบรรณในทางธุรกิจว่าด้วยเรื่องความขัดแย้ง ทางผลประโยชน์ รายการที่เกี่ยวโยงกัน และ การทำธุรกรรมระหว่างกันของกลุ่มบริษัท จึงเป็นที่มาของการร้องเรียน ต่อ ก.ล.ต.
ล่าสุด คุณรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณา
น่าคิดว่า จะมีประเด็นการดำเนินการและบริหารงานของอีสท์วอเตอร์ที่มีผลเกี่ยวกับการเข้าร่วมคัดเลือกบริหารท่อน้ำอีอีซีนี้ด้วยหรือไม่?
น่าสนใจติดตาม ใครพยายามฆ่าตัดตอน “อีสท์วอเตอร์” ? ใครได้ ใครเสีย บริหารท่อน้ำ EEC 20,000 ล้านบาท
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี