ในช่วงเที่ยงของวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาสไปเดินแถวบางลำพู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมมักจะไปหาของทานอร่อยซึ่งมีอยู่มากมาย และก็จะไปเกือบจะทุกเดือน ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือ มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเดินอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกแบ๊กแพ็ก ทั้งแถวตลาดบางลำพูและถนนข้าวสารซึ่งเป็นแหล่งนิยมของนักท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก และขณะนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลงานสงกรานต์ ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ที่จะมาเล่นน้ำสงกรานต์และสัมผัสกับสิ่งที่ถือว่า เป็นธรรมเนียมประเพณีของคนไทย ที่สร้างทั้งความสนุกสนาน เย็นชื่นฉ่ำ เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งล้วนแต่เป็นความสุขทั้งสิ้น
จากการที่ภาครัฐได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้จำนวนมหาศาลในแต่ละปีให้กับประเทศไทยเรามาเป็นระยะเวลายาวนาน จวบจนเมื่อ 2 ปีเศษที่ผ่านมานี้ ซึ่งเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องตกต่ำอย่างถึงที่สุด ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการทางด้านนี้เป็นอันมาก รวมทั้งรายได้ของประเทศที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้ลดลงไปเป็นจำนวนมหาศาล จึงเป็นเรื่องน่ายินดีว่าเมื่อรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศ ของนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น และเชื่อว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอให้เป็นเช่นนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องไม่กระทบและก่อให้เกิดผลเสียในเรื่องการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นต้นเหตุที่สำคัญของปัญหาต่างๆ มากมาย
เมื่อหันมาดูการระบาดของโรคร้ายนี้ ตัวเลขของจำนวนผู้ป่วยทั่วทั้งโลก ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขณะนี้มีจำนวนเกินกว่า 490 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6 ล้านราย โดยในส่วนของประเทศไทยมีผู้ป่วยแล้วทั้งหมดมากกว่า 3.7 ล้านราย และเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 2.5 หมื่นราย โดยตัวเลขล่าสุดในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้มีผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 28,000 ราย ซึ่งเพิ่มมากกว่าตัวเลขเฉลี่ยในรอบ 7 วันของสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตเกินกว่าวันละ 90 ราย ทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในขณะนี้นับตั้งแต่เดือนมกราคม อยู่ที่ระดับมากกว่า 0.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มากกว่าเกณฑ์ที่จะใช้ในการประกาศว่าโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า จะใช้ตัวเลขของการเสียชีวิตที่ไม่เกินกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ และมีผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันไม่เกิน 1 หมื่นราย
กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมการที่จะประกาศว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้แต่หากว่าการระบาดของโรคนี้ยังมีสถิติตัวเลขสูงกว่าเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้ ก็เป็นเรื่องที่อาจจะต้องมีการทบทวน ถึงแม้ว่า ขณะนี้รัฐบาลจะได้พยายามอย่างเต็มที่ในการดำเนินการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชน จนไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนวัคซีนอีกต่อไปแล้ว รวมทั้งเรื่องของการจัดระบบในการเข้ารับการรักษาพยาบาลกรณีที่มีการติดเชื้อ ก็เป็นไปอย่างครอบคลุม ไม่ว่าผู้ที่ติดเชื้อหรือผู้ป่วยนั้นจะไม่มีอาการ มีอาการเพียงเล็กน้อย มีอาการปานกลางหรือแม้แต่อาการหนักก็ตาม
ด้วยความร่วมมืออย่างดียิ่งของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานประกันสังคมและกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพของประชาชนในกองทุนต่างๆ จนทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติว่ามีระบบบริการสุขภาพที่ให้แก่ประชาชนที่ดีเยี่ยมประเทศหนึ่งก็ตาม
ถึงแม้ว่าขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจในเรื่องโรคโควิด-19 มากพอสมควรแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขก็พยายามที่จะให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้นว่าโรคนี้จะไม่เป็นโรคร้ายแรงหรือทำให้เกิดความรุนแรงของอาการจนเสียชีวิต หากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงทั้งหลาย ได้รับการฉีดวัคซีนตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งควรจะได้รับการฉีดอย่างน้อย 2 เข็ม และต้องได้รับการฉีดเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้น ซึ่งมีหลักฐานทางวิชาการแล้วว่าหากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม จะป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่าเดิมถึง 40 เท่าก็ตาม แต่ก็ยังพบว่ามีประชาชนเพียงแค่ 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ขณะนี้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์มาตรฐานใหม่ที่ควรจะเป็นคือ 3 เข็มแล้ว โดยผู้ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 3 ในแต่ละวัน มีเพียงแค่ประมาณ 2 แสนรายโดยเฉลี่ย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่ 3 เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุดและเร็วที่สุดในระยะเวลา 2-3 เดือนจากนี้
เมื่อเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ถึงแม้ในส่วนของสินค้าส่งออก ซึ่งก็เป็นรายได้ที่สำคัญของประเทศจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่รายได้ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นระดับต้นๆ ของรายได้ของประเทศคือจากการท่องเที่ยว ได้หดหายไปเป็นจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับคืนมาสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด เพราะขณะนี้เป็นระยะเวลาของการเริ่มต้นฤดูท่องเที่ยว ที่จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งจากทวีปเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เดินทางเข้ามาในประเทศแล้ว
หากนักท่องเที่ยวยังต้องเดินทางเข้าประเทศไทยและถูกกักตัวตามมาตรการต่างๆที่วางไว้เดิม ย่อมส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ที่จะเดินทางเข้ามาอย่างแน่นอน จึงได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป
โดยการผ่อนปรนข้อกำหนดเดิมที่สำคัญสุดเรื่องหนึ่ง คือการยกเว้นการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ในระยะเวลา 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางถึงประเทศไทยแล้ว และในส่วนของผู้ที่เดินทางเข้ามาในระบบ Test and Go ก็จะให้ผู้ที่เดินทางเข้า ตรวจ RT-PCR ในวันที่เดินทางมาถึง เมื่อจะเข้าพักในโรงแรมที่จองไว้ล่วงหน้า หากผลตรวจเป็นลบ ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจนถึงวันที่ 5 จะมีการตรวจหาเชื้ออีกครั้งหนึ่งด้วยวิธีตรวจด้วยตัวเองที่เรียกว่า ATK เท่านั้น หากผลตรวจเป็นลบ ก็จะเดินทางท่องเที่ยวได้โดยอิสระ ส่วนในกลุ่มของผู้ที่เดินทาง แบบ Sandbox หรือ Alternative Quarantine ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบหรือไม่ได้รับวัคซีน ก็จะต้องตรวจ RT-PCR ในวันแรกที่มาถึง และหลังจากนั้นจะถูกกักตัวในสถานที่พักที่จองไว้แล้วอีกเพียง 5 วันเพื่อตรวจ RT-PCR อีกครั้งหนึ่งหากผลการตรวจครั้งที่ 2 ให้ผลลบ ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่กำหนดได้ ซึ่งเชื่อว่ามาตรการผ่อนปรนนี้จะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการสร้างรายได้ของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สำคัญของประเทศ
ในส่วนของพื้นที่การระบาดในประเทศนั้นก็ได้มีการกำหนดจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีเหลืองมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่สามารถจะดำเนินกิจกรรมได้ทุกอย่างเกือบจะเป็นปกติ ทั้งในเรื่องของร้านอาหาร ภัตตาคาร การจัดกิจกรรมที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมถึงระดับ 1,000 คน รวมทั้งการอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ โดยมีจังหวัดที่ถูกกำหนดให้เป็นสีเหลืองแล้วรวมทั้งสิ้น 47จังหวัด และมีจังหวัดที่เป็นสีฟ้า คือจังหวัดที่สามารถจะจัดกิจกรรมได้ทุกอย่าง มีการให้ประชาชน ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และนำร่องการท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติอีกเป็นจำนวน 10 จังหวัดแล้วด้วย ซึ่งได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต และอีกบางจุดของจังหวัดในพื้นที่สีเหลืองและสีส้ม
ฉะนั้นเมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ มากขึ้นประชาชนทั่วประเทศก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ด้วยการสวมหน้ากาก รักษาระยะห่างและล้างมือบ่อยๆ นั้น ยังเป็นสิ่งที่ถือว่ามีความจำเป็นอย่างที่สุด ไม่อาจจะละเลยได้เป็นอันขาด เพราะถึงแม้ว่าเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดในขณะนี้นั้นจะเป็นเชื้อที่ไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยงซึ่งหมายถึงผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เรียกว่ากลุ่ม 608 แต่ก็ยังเป็นเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายมากและต้องยอมรับว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยซึ่งอาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย และไม่ได้คิดว่าตนเองป่วยติดเชื้อร้ายตัวนี้ จึงยังใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไปไม่ได้มีการกักตัวตามที่ควรจะเป็น อยู่เป็นจำนวนมากจริงๆซึ่งถึงแม้เขาเหล่านั้นจะไม่มีอาการแต่อย่างใด แต่ก็เป็นผู้ที่จะแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้ หากไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย และถึงแม้จะสวมหน้ากากอนามัย หากอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป มีการพูดคุยเป็นระยะเวลาเกินกว่า 5 นาที ในที่แออัด การถ่ายเทอากาศไม่ดี โอกาสการแพร่กระจายและการติดเชื้อก็ยังจะมีอยู่มากพอสมควร
อีกเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น ก็จะเป็นช่วงระยะเวลาสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย ซึ่งเป็นช่วงที่จะมีการหยุดยาว โดยเฉพาะหากผู้ที่ยังต้องทำงานจะขอลาหยุดในวันที่ 15 เมษายน ก็จะมีช่วงเวลาหยุดถึง5 วัน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการเดินทางท่องเที่ยวและร่วมในกิจกรรมสงกรานต์ ถึงแม้ภาครัฐจะได้การกำหนดแนวทางเพื่อจะควบคุมไม่ให้ประเพณีนี้ต้องนำมาซึ่งการติดเชื้อโรคจำนวนมากอีกครั้งหนึ่งก็ตาม แต่ก็คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายนักในการที่จะควบคุมได้ทั้งหมด
ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไป จึงควรจะต้องตระหนักในเรื่องนี้ โดยในส่วนของรัฐก็ต้องพิจารณาว่าได้วางมาตรการต่างๆ ไว้เหมาะสมครบถ้วน และสามารถกำกับติดตามตรวจสอบแล้วหรือยัง ในส่วนของประชาชนถึงแม้ว่าจะได้ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ซึ่งควรจะเป็น 3 เข็มแล้วก็ตาม ก็ยังต้องดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ดังที่กล่าวไว้แล้วอย่างเคร่งครัด การสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นของทั้ง 2 ภาคส่วน จึงเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้การระบาดของโรคโควิด-19ไม่กลับมาสู่การระบาดใหญ่ จนเป็นปัญหาที่กระทบต่อประเทศชาติอีกครั้งหนึ่ง
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี