ประธานาธิบดี ปูติน แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ได้ตัดสินใจดำเนินการสั่งกองทัพของตนให้กรีธาทัพบุกยูเครน (ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยอยู่ในร่มชายคาเดียวกันในกรอบจักรวรรดิรัสเซีย และในกรอบจักรวรรดิสหภาพโซเวียต) อย่างโจ่งแจ้ง ชนิดไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำจริง และกระทำได้ในโลกยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้แสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความล้มเหลวในการรุกรานประเทศอื่นๆ อยู่หลายครั้ง
ผู้นำรัสเซียย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เมื่อกระทำเช่นนี้ ก็จะได้รับการต่อต้านอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะฝ่ายตะวันตกที่นำโดย สหรัฐอเมริกา และจะได้รับการประณามจากสังคมโลกเป็นการทั่วไป เพราะสงครามนั้นสร้างความยากลำบากให้กับทั้งคนยูเครน และคนรัสเซีย แถมยังส่งผลกระทบต่อชาวโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราต่างอาศัยอยู่ในยุคสมัยของการเชื่อมโยงและพึ่งพาต่อกันและกัน วิกฤตการณ์หนึ่งใด ย่อมส่งผลกระทบต่อๆ กันไปเป็นปรากฏการณ์ห่วงโซ่ แต่ถึงกระนั้น ประธานาธิบดี ปูติน ก็ตัดสินใจที่จะใช้กำลัง โดยไม่ยอมเสียเวลาให้กับวิถีทางทางการทูตอีกต่อไป
ด้วยการตัดสินใจเช่นนี้ ทำให้ชาวโลกเกิดความสงสัยว่า ปูติน เป็นใคร? คิดอ่านอย่างไร? ผ่านประสบการณ์อะไรบ้าง? ทำให้มีการค้นคว้า วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย เกี่ยวกับบุคลิก ความนึกคิด และสภาวะจิตใจของประธานาธิบดี ปูติน บทความนี้ก็ขอถือโอกาสเข้าร่วมกันทำความรู้จักและการสร้างความเข้าใจกับตัวประธานาธิบดี ปูติน ด้วย
ตั้งแต่อายุ 14-15 ปี นายวลาดีมีร์ ปูติน ได้ไปสมัครเข้าเป็นพนักงานของฝ่ายจารกรรม และข่าวกรองของสหภาพโซเวียต (KGB) แต่ได้รับการบอกกล่าวว่าให้กลับไปเล่าเรียนหนังสือให้จบเสียก่อนค่อยกลับมาใหม่ นายปูตินจึงก้มหน้าก้มตาเรียนจนได้ปริญญาตรีทางกฎหมาย ก่อนจะได้เข้าสังกัดในองค์กรหน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเวียต (KGB) และถูกส่งไปประจำการที่เมืองเดรสเดน ในเยอรมันตะวันออก (ซึ่งขณะนั้นยังเป็นคอมมิวนิสต์) เพื่อประสานงานกับหน่วยสืบราชการลับของเยอรมันตะวันออก และคอยสอดส่องความเป็นไปในยุโรปตะวันตกในกิจการงานขององค์การนาโต
ปูตินจึงได้เห็นการทำลายล้างกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของโลกยุคสงครามเย็น รวมทั้งเห็นการล่มสลายของสหภาพโซเวียตต่อหน้าต่อตา (หลังจากนั้น ชาวโซเวียต ชาวยุโรปตะวันออก และยุโรปกลางที่เคยอยู่ในอาณัติของสหภาพโซเวียต จึงเริ่มได้รับสิทธิเสรีภาพคืนมา) ซึ่งปูตินคงจะรู้สึกเจ็บใจ ผิดหวัง และอาลัยอาวรณ์กับการจากไปของสหภาพโซเวียต รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และคงจะเจ็บปวดกับความต่ำต้อยต่างๆ ของสหพันธรัฐรัสเซีย ที่สืบทอดมาจากสหภาพโซเวียต แต่ก็ทำได้แค่เก็บความแค้นที่ว่า ชาติมหาอำนาจของตนได้ถูกฝ่ายตะวันตกบ่อนทำลายจนล่มสลายเอาไว้ในใจ
หลังจากประจำการที่เมืองเดรสเดน ปูตินได้กลับรัสเซีย เพื่อมารับตำแหน่งในสำนักงานเทศบาลนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (เลนินกราด) โดยมี นายอนาโตลี ซ็อบจัก (Anatoly Sobchak) เป็นนายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เป็นพวกหัวก้าวหน้า หลังยุคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต ซึ่งปูตินก็ได้แสดงฝีไม้ลายมือในการเป็นนักบริหารจัดการที่ดี แต่อยู่ๆ นายซ็อบจัก ก็เสียชีวิตอย่างกะทันหันคาตำแหน่ง ซึ่งต่อมา นายปูติน ก็ได้รับการแนะนำตัวต่อประธานาธิบดีเยลต์ซิน และได้แสดงฝีมือการบริหารจัดการในฐานะเทียบเท่าหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดี ทำให้ได้รับการโปรโมทขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนจะสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก เยลต์ซิน ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ปูตินจะไม่ย้อนรอยเล่นงานเยลต์ซินต่อความล้มเหลวต่างๆ นานา ในการบริหารราชการที่ผ่านมา รวมทั้งไม่แตะต้องปมสีเทาธุรกิจครอบครัววงศาคณาญาติของเขา หรือนัยหนึ่ง เยลต์ซินเชื่อมั่นว่า ปูตินจะปกป้องตนเอง และครอบครัวเมื่ออำลาจากเวทีการเมืองไปแล้ว ทำให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสงบ
หลังจากรับตำแหน่งประธานาธิบดี ปูติน ก็ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการบ้านเมืองให้มีเสถียรภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สภาพชีวิตของผู้คนและพัฒนากิจการทหารและอวกาศ ไปจนถึงการฟื้นฟูสถานะของรัสเซียในเวทีระหว่างประเทศ ตามลำดับ
ทั้งนี้ ปูติน ได้ประสบพบเห็นด้วยตัวเองเกี่ยวกับการแพร่ขยายอิทธิพลของฝ่ายตะวันตก ทั้งในรูปแบบของการขยายตัวของสมาชิกองค์การนาโต และการขยายตัวของสหภาพยุโรป เข้ามาประชิดเขตแดนรัสเซีย และเขตความมั่นคงระดับอนุภูมิภาคของรัสเซียมากขึ้นเป็นลำดับ หรือจะมองอีกมุมหนึ่งว่าเป็นเขตอิทธิพลของรัสเซียมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแนวคิดอย่างมุ่งมั่นของฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก ที่จะนำเอายูเครนและจอร์เจียเข้ามาอยู่ในครอบครัวขององค์การนาโตและสหภาพยุโรป ซึ่งปูตินนั้นเห็นว่าเป็นการคุกคามรัสเซียโดยตรง ไม่ว่าจะมองทั้งในแง่การถูกโอบล้อม หรือการจะถูกจำกัดพื้นที่ อย่างไรก็ได้ ซึ่งฝ่ายปูตินไม่ยอมรับการปิดล้อมนี้ ซึ่งก็ได้แสดงออกโดยการรุกรานจอร์เจีย เมื่อปี ค.ศ. 2008 และทำการรุกเข้าไปในเขตทางตะวันออกของยูเครน และยึดเขตไครเมียทางตอนใต้ของยูเครน ในปี ค.ศ. 2014 จนมาบัดนี้ ก็คือการเปิดฉากโจมตีและบุกรุกยูเครนทั้งประเทศเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้
ทั้งหมดนี้ก็มีการกล่าวกันในแวดวงนักวิเคราะห์ว่า การสั่งบุกยูเครนมิใช่เป็นแค่การประกาศศักดาของรัสเซียเท่านั้น หากแต่ยังมีนัยว่า ประธานาธิบดี ปูตินนั้น มีความฝันและความทะเยอทะยานที่จะทำให้ประเทศ
ของตนกลับมายิ่งใหญ่เฉกเช่นจักรวรรดิรัสเซียในอดีต โดยต้องการรื้อฟื้นเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่
เมื่อไม่นานมานี้ รัสเซียก็ได้มีการดำเนินการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่เคยอยู่ภายใต้อดีตสหภาพโซเวียตที่ยังมิได้เข้าไปร่วมกับองค์การนาโตหรือสหภาพยุโรป ยูเครนจึงกลายเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ปูตินจะยอมให้หลุดไปจากเขตอิทธิพลของรัสเซียไม่ได้ โดยเฉพาะการไปอยู่ในค่ายของสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก ซึ่งเขาถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของรัสเซียโดยตรง
การตัดสินใจของ ประธานาธิบดี ปูติน ในการทำสงครามกับยูเครน จึงมีความเสี่ยงสูงสุด ทั้งต่อสถานะของปูตินเองในเวทีการเมืองของรัสเซีย ทั้งต่อสถานะของรัสเซียในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคยูโรเอเชีย และต่อสถานะของลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองแบบอัตตานิยม (Autocracy) ในโลกกว้างที่กำลังแข่งขันกับฝ่ายประชาธิปไตยนิยม (ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา)
อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ ปูตินก็ยังดูไม่สะทกสะท้าน แม้จะถูกต่อต้านจากฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก จากฝั่งตะวันตกอย่างหนัก โดยเฉพาะการเข้าไปค้ำจุนอาวุธทันสมัยให้ยูเครน หรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการตัดมือตัดเท้าการทำมาหากินของรัสเซียอย่างมโหฬาร
นอกจากนั้น ปูติน ยังแสดงให้เห็นว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ความไม่พึงพอใจสงครามยูเครนภายในประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะจากพวกที่ต่อต้านสงครามและพวกหัวก้าวหน้าทางประชาธิปไตย
ปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงก็คือ ระยะเวลาที่กองทัพรัสเซียจะสามารถเผด็จศึกในยูเครนได้เมื่อไร? หากยิ่งยืดเยื้อ สถานภาพอันแข็งแกร่งของปูตินก็จะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ
หลังผ่านมาเดือนกว่าแล้ว คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย คงเริ่มตระหนักแล้วว่า การขัดแย้งสู้รบได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทุกหมู่เหล่าทั่วโลก และยังคงจะสามารถทวีคูณมากขึ้นอีก และฉะนั้น ต่างก็ตระหนักว่า ทางออกคือ การเจรจาหารือทางวิถีทางทางการทูต ซึ่งจะตกลงกันได้ ก็จะต้องไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว หรืออยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุใช้ผล ถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ หรือหาความสมดุลในผลประโยชน์ของกันและกัน
แต่ดูแล้วด้วยอุปนิสัยใจคอ และความเป็นคนที่รักชาติ (ระดับคลั่งชาติ) ปูตินคงจะไปให้ถึงที่สุดให้ได้ ไม่ยอมยกธงขาวเองเป็นแน่ ซึ่งอาจจะรวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์เฉพาะพื้นที่ และอาวุธชีวภาพ เพื่อเผด็จศึก ก็เป็นได้
ฉะนั้น ความหวังของชาวโลกจึงขึ้นอยู่กับฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกเป็นสำคัญ ว่าจะยังดึงดัน บีบคั้น ต้อนปูตินเข้าสู่มุมอับให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดสงครามใหญ่โตขึ้นไปอีก ซึ่งก็จะเกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล
หรือน่าจะถึงเวลาแล้วที่ฝ่ายตะวันตกจะเริ่มเปิดการเจรจากับฝ่ายปูตินอย่างจริงจัง เพื่อหาทางออกร่วมกัน ทั้งในการประกันเสถียรภาพและเอกราชของยูเครน ในการยอมรับความต้องการของรัสเซียในเรื่องความมั่นคงชายแดนและฉะนั้น เพื่อนำกลับมาซึ่งสันติภาพและสันติสุขของมวลมนุษยชาติ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี