ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ได้ประกาศยกเลิกการใช้ มาตรการต่างๆ ที่ออกตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ในการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงโควิด-19ก็ตาม แต่ถึงขณะนี้เนื่องจากผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งความเชื่อมั่นของภาครัฐที่ได้ทำให้ประชากรไทยที่อยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้ ได้รับวัคซีนกันแล้วมากกว่า 80% รวมทั้งการที่กระทรวงสาธารณสุขสามารถดำเนินการให้โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันจัดบริการในการตรวจรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้เป็นระบบที่ชัดเจน ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงสามารถเข้ารับการรักษาได้ในทุกโรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการก็สามารถ เข้าระบบกักตัวรักษาตัวเองที่บ้านและในสถานพยาบาลชั่วคราวตามที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้อนุมัติให้ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ ได้ดีแล้ว จึงทำให้ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการในการดำรงชีวิตของประชากร จนเกือบจะถือว่าดำเนินชีวิตได้ตามปกติแล้ว
ส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายมาตรการ เพื่อช่วยกอบกู้สถานะทางเศรษฐกิจ ของประเทศ คือการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลจากการยกเลิกมาตรการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางมาถึง ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยในแต่ละวันมีจำนวนเกินกว่า 1 หมื่นราย ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดียิ่ง และเป็นเครื่องยืนยันว่า ประเทศไทยยังเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในสายตาของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย
จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่วันละไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นราย และจำนวนผู้เสียชีวิตในแต่ละวันยังอยู่ที่ระดับ 90 ราย ซึ่งแสดงว่าสถานการณ์การระบาดในประเทศ ยังอยู่ในสภาพคงตัว และถึงแม้ว่าเชื้อที่เป็นสาเหตุคือสายพันธุ์โอมิครอน จะไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้สูงอายุและประชากรกลุ่ม 608 หากยังได้รับการฉีดวัคซีนน้อยกว่า 2 เข็มและได้รับเชื้อ ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการที่จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตมากพอสมควร จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลโดยทุกหน่วยงานได้พยายามอย่างยิ่งในการรณรงค์ชักชวนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นโดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวหากมีการติดเชื้อ แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ก็พบว่ามีประชากรที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นในแต่ละวันประมาณ 1 แสนรายเศษเท่านั้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วเพียงแค่ 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่ายังต่ำมาก
จะพบว่า ในทุกโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนในแต่ละวันจะมีประชาชนที่ส่วนใหญ่ตรวจพบด้วยตัวเองจากชุดตรวจ ATK ว่ามีการติดเชื้อ ไปขอเข้ารับการตรวจรักษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีจำนวนหนึ่งต้องได้รับการตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผลอีกครั้งหนึ่ง หากผลเป็นบวกก็จะเข้าสู่ระบบการรักษาได้โดยทันที โดยหากมีอาการน้อย แพทย์ก็จะแนะนำให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกที่เรียกว่า เจอ แจก จบ โดยการกักตัวที่บ้าน (Self Isolation)
ซึ่งขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ร่วมมือกับสภาเภสัชกรรม ให้ผู้ที่ตรวจพบเองว่าติดเชื้อ ไปรับยาจากร้านขายยาทั่วประเทศ ที่ขณะนี้เปิดให้บริการในโครงการนี้แล้วมากกว่า 700 แห่ง และกำลังทยอยเปิดมากขึ้นโดยมีเภสัชกรซึ่งมีความรู้เรื่องยาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เป็นผู้ให้คำแนะนำเรื่องการรักษา หรือหากไม่สะดวกก็เข้ารักษาในระบบ Home หรือ Hotel isolation หรือ Hospitel ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยรายนั้นๆ มีสิทธิ์พื้นฐานการรักษาพยาบาลอยู่ในระบบไหน แต่หากเป็นกลุ่มเสี่ยงและได้รับการคัดกรองโดยการตรวจประเมินผ่านสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน ว่าเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองหรือสีแดง ก็จะได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งในทุกกรณีที่กล่าวมานั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นแต่การเรียกร้องการรักษาเกินสิทธิ์ ซึ่งผู้ติดเชื้อจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาส่วนที่เกินสิทธิ์เอง
มีข้อมูลว่า ส่วนใหญ่ของประชากรที่ติดเชื้อและมีอาการน้อยนั้น ได้เข้ารับการรักษาแบบกักตัวเอง(Home isolation) มากที่สุด ซึ่งทุกรายจะได้รับยาชุดมาตรฐานหากไม่มีอาการเลย และหากมีอาการน้อยอาจจะได้รับยาฟ้าทะลายโจรหรือฟาวิพิราเวียร์ด้วย โดยจะมีโรงพยาบาลในเครือข่ายติดตามอาการของผู้ป่วย พร้อมกับจะได้รับเครื่องวัดออกซิเจนในเลือดและปรอทวัดไข้ ตลอดจนอาหารวันละ 3 มื้อ เป็นระยะเวลา 10 วันเป็นอย่างน้อย
มีประเด็นที่ น่าเป็นห่วง ณ ขณะนี้อยู่บ้างพอสมควรว่า สำหรับผู้ป่วยที่สมัครใจรับการรักษาแบบกักตัวเองที่บ้านจำนวนไม่น้อย ไม่ได้มีการกักตัวอยู่ในบ้านจริง ยังคงออกมาใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้านอยู่บ่อยๆ ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ผู้ที่เดินทางเพื่อไปขอรับการตรวจในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลต่างๆ นั้น เป็นผู้ที่มีอาการที่ทำให้ตัวเองสงสัยว่าติดเชื้อแล้ว และก็ได้มีการตรวจตัวเองด้วยชุดตรวจ ATK แล้วว่าขึ้น 2 ขีด ซึ่งแสดงถึงการติดเชื้อจริง โดยการเดินทางไปนั้น มีทั้งที่ไปเองด้วยยานพาหนะส่วนตัว แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปโดยรถประจำทางหรือรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งทำให้โอกาสของการแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลอื่นเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างมากมาย และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังไม่ลดลงอย่างที่หลายฝ่ายอยากจะให้เป็น และเมื่อมาตรวจที่โรงพยาบาล และยอมรับเข้าสู่การรักษาแบบกักตัวเองที่บ้านนั้น เมื่อกลับไปถึงบ้านพักอาศัยแล้ว ยังคงมีเหตุที่ทำให้ต้องออกจากบ้าน
เช่น เพื่อกลับมาติดต่อกับโรงพยาบาล ในกรณีที่มีข้อสงสัยซึ่งอาจจะยังไม่ได้รับคำตอบจากการติดต่อทางโทรศัพท์ หรือเดินทางกลับมาที่โรงพยาบาลเพื่อขอรับใบรับรองแพทย์ ซึ่งอาจจะต้องเอาไปในการลางานหรือในการขอเคลมประกันก็แล้วแต่ และยังพบว่ามีผู้ติดเชื้อบางราย เมื่อโรงพยาบาลติดต่อกลับเพื่อจะตรวจติดตามอาการให้ ก็พบว่า ได้รับคำตอบว่าขณะนี้ยังไม่สะดวกในการให้ข้อมูล เนื่องจากกำลังเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าบ้าง ไปตลาดบ้าง ซึ่งเรื่องที่กล่าวนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งกรณีต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้มีโอกาสของการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ตลอดเวลา และเชื่อว่าไม่มีวิธีการใด ที่จะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวได้อย่างแน่นอน
จึงขอเน้นย้ำว่า สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อนั้น จะต้องป้องกันตัวเองอย่างที่สุดไม่ให้ติดเชื้อ เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้ไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร ติดเชื้อหรือไม่ ไม่ว่าจะในเรื่องของการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งในขณะนี้ได้หมายรวมถึงการได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 แล้วด้วย เพื่อให้ภูมิต้านทานยังคงมีระดับสูงพอเพียงต่อการที่จะทำให้ มีอาการที่ไม่รุนแรง และไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหากมีการติดเชื้อขึ้น ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่ายังต้องดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่อย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องของการสวมหน้ากาก การอยู่ห่างจากผู้อื่นและการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อยๆ การสร้างวินัยให้กับตัวเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 เป็นสิ่งที่ต้องอยู่กับทุกคนตลอดไป
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีข่าวซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นข่าวดี ที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกมากล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้เห็นชอบ ที่จะให้มีการจัดหายาที่สร้างภูมิต้านทานระยะยาว long acting antibody ( LAAB) เพื่อจะนำมาใช้สำหรับกลุ่มผู้เสี่ยงสูง ที่ร่างกายไม่สามารถจะสร้างภูมิต้านทานได้ โดยยาตัวนี้ เป็นภูมิต้านทานสำเร็จรูป ซึ่งประกอบด้วยภูมิต้านทานโมโนโคลนอล 2 ชนิดที่มีชื่อว่า Tixagevimab และ Cilgavimab ผสมกันอยู่ ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยบริษัท AstraZeneca ของประเทศอังกฤษ และได้ผ่านการขึ้นทะเบียนโดย NIH ในประเทศอังกฤษแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 รวมทั้งผ่านการอนุมัติรับรองให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้วโดยองค์การอาหารและยา(FDA) ของประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนธันวาคม 2564
ข้อบ่งใช้สำหรับภูมิต้านทานสำเร็จรูปตัวนี้ที่มีชื่อว่า Evusheld คือการฉีดก่อนการสัมผัสเชื้อให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง เช่นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิต้านทานได้เพียงพอ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง อยู่ระหว่างการรักษาโดยใช้ยาที่มีการกดภูมิเป็นต้น โดยให้ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป และมีน้ำหนักตัวมากกว่า 40 กิโลกรัม หลังการฉีดภูมิต้านทานจะคงสภาพอยู่ 6-12 เดือน และมีประสิทธิผลร้อยละ 83 ในการลดอาการรุนแรงของเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งรวมทั้งโอมิครอนที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ย่อยด้วย โดยรัฐบาลได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุขปรึกษาหารือและทำความตกลงกับบริษัท AstraZeneca ในการปรับสัญญา จากการสั่งซื้อวัคซีนของ Astra Zeneca มาเป็นการซื้อภูมิต้านทานสำเร็จรูปนี้แทนในกรอบวงเงินงบประมาณที่จัดสรรไว้เดิม โดยราคาของภูมิต้านทานสำเร็จรูปนี้ อยู่ที่ประมาณชุดละ 2.7 หมื่นบาท
ในขณะที่มีข่าวดีเรื่องภูมิต้านทานสำเร็จรูป ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาชีวิตของกลุ่มผู้เสี่ยงสูงซึ่งมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำจากสาเหตุใดๆ ก็แล้วแต่ รวมทั้งผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วร่างกายไม่สามารถจะสร้างภูมิต้านทานได้พอเพียง แต่ภูมิต้านทานสำเร็จรูป Evusheld นี้ยังมีข้อจำกัดที่ไม่อาจนำมาใช้ในวงกว้างได้ และยังไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนวัคซีน จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนยังต้องดูแลรักษาตัวเองให้ปลอดภัยจากการเป็นโรคนี้ โดยการฉีดวัคซีนให้ครบ 3 หรือ 4 เข็ม ดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่อย่างเคร่งครัดตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และต้องร่วมมือที่จะไม่ทำให้โรคนี้ยังคงมีการระบาดแพร่กระจาย โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ต้องให้ความร่วมมือในการกักตัวรักษา ในสถานที่ที่ถูกกำหนดไว้ทุกประเภท และในระยะเวลาที่นานพอเพียงตามหลักวิชาการที่กำหนดก่อนที่จะออกมาใช้ชีวิตในสังคม นั่นคือมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อสังคมให้มากที่สุดและดีที่สุดด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี