เมื่ออาเซียนเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2510 อาเซียนมีสมาชิก 5 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เรามีความเป็นปึกแผ่น เพราะต่างมีอุดมการณ์ร่วมกันคือ การต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยเลือกเข้ากับฝ่ายโลกเสรี และมุ่งพัฒนาประเทศในระบบการตลาดเปิดแบบทุนนิยม โดยมีภาคเอกชนเป็นหัวหอกอันสำคัญ และภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวก และกำกับ
ผลก็คือ อาเซียนสามารถรอดพ้นจากการรุกราน ครอบงำ ของลัทธิคอมมิวนิสต์ และสร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางสังคมชีวิตจนเป็นที่เลื่องลือ (บรูไน ได้รับเอกราชจากอังกฤษ และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในปี ค.ศ. 1984 หรือ พ.ศ. 2527)
เมื่อโลกสงครามเย็นสิ้นสุดลง อาเซียนได้ขยายจำนวนสมาชิก โดยรับเอาเวียดนาม ลาว กัมพูชา และพม่า เข้าร่วม และมุ่งที่จะขยายและกระชับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และกระชับความร่วมมือกับมิตรประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิก โดยอาเซียนมุ่งมั่นที่จะเป็นแหล่งผลิตเพื่อการส่งออก และมุ่งมั่นที่จะเป็นแกนหลักในความเป็นไปของภูมิภาค (Centrality)
ที่ผ่านมา ความสำเร็จของอาเซียนโดยรวมจัดได้ว่า มีเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวนำพา แต่เมื่อสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป ความท้าทายก็มากหลายขึ้น ทั้งในเรื่องการเมือง ความมั่นคงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และการแพร่ขยายของโรคระบาด ความนึกคิดแบบสุดโต่ง และการพิพาทในเรื่องเขตแดน เช่น ในกรณีของทะเลจีนตอนใต้
ในขณะเดียวกัน ภายในอาเซียนกันเองก็มีการตื่นตัวและการเรียกร้องของประชาชนพลเมืองในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของสังคมประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วม แต่ก็ต้องเผชิญกับฝ่ายอนุรักษ์และอำนาจนิยม ในขณะที่ระบบการเมืองการปกครองของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งต่างก็มีความหลากหลาย และแตกต่างกัน จากความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของบรูไน ไปจนถึงการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองหลายๆ พรรคที่ประเทศไทยและที่ฟิลิปปินส์เป็นต้น
และเมื่อภยันตรายจากลัทธิคอมมิวนิสต์หมดสิ้นไปแล้ว อาเซียนก็ไม่ได้มีอุดมการณ์ร่วมอีก ทำให้เมื่อมีประเด็นปัญหาขึ้นมา อาเซียนก็ไม่สามารถที่จะหาจุดร่วมได้ เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การปฏิวัติรัฐประหารที่ไทยและพม่า เช่นการกีดกันความเชื่อถือกันทางด้านศาสนา โดยกลุ่มศาสนาหลักต่อกลุ่มศาสนาย่อย หรือการมีจุดยืนร่วมกันในการต่อต้านมาตรการฝ่ายเดียวของจีนในทะเลจีนตอนใต้ เป็นต้น ซึ่งนอกจากอาเซียนจะไม่มีจุดยืนร่วมกันในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีท่าทีที่ขัดแย้งกันไปในตัว ล่าสุดก็กรณีของการบุกรุกของรัสเซียต่อยูเครน และความแตกแยกนี้ยังอำนวยให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง หรือถือหางประเทศสมาชิกอาเซียนหนึ่งใดได้
ณ วันนี้ กล่าวได้ว่าอาเซียนนั้นอ่อนแอ เนื่องจากไม่สามารถรักษาและส่งเสริมหลักการว่าด้วยการเป็นแกนกลางของภูมิภาคดังกล่าวได้ ส่งผลให้อาเซียนขาดน้ำหนักในเวทีระหว่างประเทศ และขาดพลังอำนาจต่อรองและขาดความน่าเชื่อถือ ไร้เกียรติภูมิและคุณค่ายิ่งขึ้น
อาเซียนจึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนตนเอง มองเข้ามาข้างในตัวเอง แล้วถามว่า ยังอยากจะอยู่ร่วมกันต่อไปอีกหรือไม่? และหากประสงค์ที่จะทำเช่นนั้นจะต้องทำอย่างไร?
ภาระหน้าที่อันดับแรกนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำทั้ง 10 ประเทศของอาเซียน ที่จะต้องพบปะหารือกันอย่างจริงจังเพื่อกู้สถานะ ใฝ่หาจุดร่วม และขับเคลื่อนอาเซียนไปด้วยกัน โดยต้องลดความยึดมั่น ถือมั่น ต่อผลประโยชน์เฉพาะของตนเอง คือต้องให้แก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ หรืออาเซียนต้องมาก่อน
และหากเห็นพ้องกันว่าจะต้องกู้สถานะของอาเซียน ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ก็คงต้องกลับไปพินิจพิจารณาทบทวนคำมั่นสัญญา ความปรารถนา ที่ได้เคยให้กับตัวเองไว้ เช่น สนธิสัญญาว่าด้วยมิตรไมตรี และความร่วมมือ (Treaty of Amity and Cooperation) แถลงการณ์ว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ แถลงการณ์ว่าด้วยเขตเสรีภาพและความเป็นกลาง และกฎบัตรอาเซียนที่ได้ระบุคำว่า “ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน”และคำขวัญว่าด้วยประชาชนนั้นเป็นแกน (People Centred)
ขณะนี้ โลกกำลังแบ่งออกเป็น 2 ขั้วขั้วประชาธิปไตย นำโดย สหรัฐอเมริกา และขั้วอัตตาธิปไตย นำโดย จีน และรัสเซีย หรือการชิงกันเป็นใหญ่ในโลกกว้างและในระดับภูมิภาคต่างๆ ระหว่างฝ่ายสหรัฐอเมริกา พร้อมกับพันธมิตรยุโรปและญี่ปุ่น กับฝ่ายจีน รัสเซีย ตามด้วยเกาหลีเหนือ และอิหร่าน อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอาเซียนนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง หากสามารถกำหนดตนเองที่จะเป็นกลาง และคบหาสมาคมกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยหลีกเลี่ยงการเป็นพันธมิตรกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (ที่เป็นการสร้างการเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายหนึ่ง)
แต่ในขณะเดียวกัน ภายในอาเซียนเอง ผู้นำจะกดขี่และรวบอำนาจไว้แต่ผู้เดียวไม่ได้ จำต้องเปิดกว้างและให้ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วม และแม้ว่าในที่สุดจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปอยู่ในค่ายของสหรัฐฯ เพราะการเมืองการปกครองของประเทศหนึ่งใดก็เป็นเรื่องของพลเมืองของประเทศนั้นๆ ที่จะปรับปรุงแก้ไข และพัฒนากันเอง ไม่ใช่เรื่องที่ผู้อื่นจะเข้าไปแทรกแซง หรือผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ก็ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำอาเซียนจะเลิกดำเนินชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ และกลับมาหันหน้าเข้าหากัน ให้มีความใกล้ชิด ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน แล้วร่วมกันผลักดันอาเซียนให้เจริญก้าวหน้า เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างที่เป็นมาในอดีต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี